พบถูกหลอมเป็นเหล็กเส้น
ซีเซียม-137
สารกัมมันตรังสีอันตราย
ผู้ว่าฯปราจีนบุรีปิดพื้นที่ทันที
ระยองวุ่นรับงานต่อรีไซเคิล
สธ.สั่งเฝ้าระวังผู้สัมผัส3กลุ่ม
เจอแล้ว “ซีเซียม-137” ในโรงหลอมเหล็ก หลักฐานสารกัมมันตรังสีในฝุ่นแดงปรากฏชัด คาดถูกหลอมละลายเป็นเหล็กเส้นหมดแล้ว ผู้ว่าฯปราจีนบุรีสั่งปิดพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมกบินทร์บุรีรอตรวจสอบทันที ด้านระยอง ตรวจสอบปลอดภัย แม้รับกากอุตสาหกรรมปนเปื้อน ซีเซียม-137 ไปรีไซเคิล ฝ่ายปลัด สธ.สั่งเฝ้าระวัง 3 กลุ่มอาการ ผู้มีโอกาสสัมผัสสารมฤตยู’
ผู้สื่อข่าวรายงานเมื่อ 20 มีนาคม 2566 ถึงความคืบหน้ากรณีท่อบรรจุสารกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 หายจากโรงไฟฟ้าในนิคมอุตสาหกรรม 304 อ.ศรีมหาโพธิ จ.ปราจีนบุรี ไปอย่างมีปริศนา
ล่าสุด นายรณรงค์ นครจินดา ผู้ว่าราชการจังหวัดปราจีนบุรี แถลงตรวจพบวัสดุกัมมันตรังสี ซีเซียม-137 หายไปจากโรงไฟฟ้า เมื่อวันที่ 10 มี.ค.66 ว่า เมื่อ วันที่ 19 มีนาคม ตรวจพบ ซีเซียม-137 ในโรงหลอมเหล็กแห่งหนึ่งใน อ.กบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี อยู่ในฝุ่นแดง โดยตรวจวัดพบค่ารังสีอ่อน รอยืนยันจากจสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ว่าปัญหาที่เกิดขึ้นจะทำอย่างไรกับผลกระทบของประชาชนในพื้นที่ ทั้งนี้ ได้สั่งปิดกั้นพื้นที่ในบริเวณที่ตรวจพบ เขตอุตสาหกรรมย่านกบินทร์บุรี จ.ปราจีนบุรี ไม่ให้ประชาชนเข้าพื้นที่เป็นการด่วนแล้วเพื่อความปลอดภัย
ทั้งนี้ เตรียมเชิญผู้บริหารโรงหลอมเหล็กมาพูดคุยว่าไปได้วัตถุชิ้นนี้มาจากไหน ส่วนที่หลอมนี้ส่งให้ใครบ้าง คาดมีบุคคลในโรงหลอมเหล็กได้รับผลกระทบจากรังสีนี้ไม่ต่ำกว่า 4-5 คน แต่ยังไม่แสดงอาการ
ด้านนายไตรภพ วงศ์ไตรรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง กล่าวชี้แจงกรณีพบวัสดุกัมมันตรังสีซีเซียม 137 จากโรงงานหลอมเหล็ก จังหวัดปราจีนบุรี ส่งฝุ่นจากการหลอมเหล็กมาที่โรงงานในพื้นที่จังหวัดระยองว่า ได้ชี้แจงมายังปลัดกระทรวงมหาดไทยแล้ว ซึ่งทางสำนักงานอุตสาหกรรมจังหวัดระยอง ได้ตรวจสอบข้อมูลพบว่า บริษัท เค.พี.พี.สตีล จำกัด ประกอบกิจการรีดเหล็กเส้นกลมและข้ออ้อย และผลิตภัณฑ์เหล็กทุกชนิด ตั้งอยู่ ณ เลขที่ 111 หมู่ที่ 6 ตำบลหาดนางแก้ว อำเภอกบินทร์บุรี จังหวัดปราจีนบุรี ได้ส่งกากอุตสาหกรรมฝุ่นจากระบบบำบัดมลพิษอากาศจากเตาหลอมเหล็ก เพื่อดำเนินการคืนสภาพนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ จำนวนประมาณ 10 ตัน มายังบริษัท เอ็น เอฟ เอ็ม อาร์ จำกัด ประกอบกิจการ นำเศษผงโลหะจากระบบบำบัดอากาศในโรงงานผลิตโลหะ มาคืนสภาพเพื่อนำกลับมาใช้ประโยชน์ใหม่ในกระบวนการผลิตโลหะ ทะเบียนโรงงาน 3-106-1/64รย โดยโรงงานหลอมเหล็กได้มีการขออนุญาตนำกากอุตสาหกรรมออกนอกโรงงานถูกต้อง
ผู้ว่าฯระยอง กล่าวต่อว่า ขณะนี้ พนักงานเจ้าหน้าที่ฯ จากสำนักงานอุตสากรรมจังหวัดระยอง พร้อมด้วย กรมโรงงานอุตสาหกรรม ศูนย์วิจัยและเตือนภัยมลพิษโรงงานภาคตะวันออก สำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ สาธารณสุขจังหวัดระยอง ได้ลงพื้นที่ตรวจสอบภายในบริเวณโรงงานทั้งหมดแล้ว ไม่พบค่าเกินเกณฑ์มาตรฐาน 0.15 ไมโครซีเวลิ์ด/ชั่วโมง
ด้านนายจุลพงษ์ ทวีศรี อธิบดีกรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรอ.) เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่กรมโรงงานอุตสาหกรรม ร่วมกับสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ อุตสาหกรรมจังหวัดปราจีนบุรี และจังหวัดปราจีนบุรี ได้ตรวจสอบโรงงานเคพีพี อำเภอ กบินทร์บุรี จังหวัด ปราจีนบุรี พบว่า มีสารซีเซียม-137 หรือสารไอโซโทปของซีเซียม ซึ่งเป็นสารกัมมันตรังสี อยู่ในฝุ่นแดงบริเวณโรงงาน คาดว่า เกิดจากการหลอมอุปกรณ์ที่หายไปของโรงไฟฟ้าบริษัท เนชั่นแนล เพาเวอร์ ซัพพลาย ทำให้เราเจอแต่ในฝุ่นแดงที่ตรวจพบ
ทั้งนี้เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ทางโรงงานเคพีพีฯ ได้นำฝุ่นแดง 12.4 ตันในโรงงานไปสู่กระบวนการรีไซเคิล ที่โรงงานจ.ระยอง จึงได้ให้เจ้าหน้าที่ ไปตรวจสอบฝุ่นแดงในห้องแลปว่า สารซีเซียม- 137 ปนเปื้อนฟุ้งกระจายไปหรือไม่ ล่าสุดเจ้าหน้าที่แจ้งมาแล้วว่า ไม่มีสารซีเซียม - 137 ปนเปื้อนไปที่โรงงานรีไซเคิล ที่ จ.ระยองอย่างแน่นอน ส่วนสารปนเปื้อนซีเซียม- 137 ที่ตรวจพบในโรงงานเคพีพี ทางสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ กฎหมายเฉพาะจะเป็นผู้ดำเนินการต่อไป
“หน้าที่กรมโรงงานฯ จะดูแลเรื่องภาพรวมโรงงาน อย่างกรณีนี้ ทางโรงงานฯ จะต้องรายงานความปลอดภัยอุปกรณ์ต่างๆ ทุกเดือนเม.ย. ซึ่งปี 2565 พบว่า ปริมาณชิ้นส่วนยังครบ 10 ชิ้น แต่ปีนี้ทางโรงไฟฟ้าฯ ได้ตรวจสอบเมื่อเดือนมีนาคม เพื่อรายงานต่อกรมโรงงานฯ ในเดือนเม.ย. นี้ จึงรู้ว่า อุปกรณ์ หายไป 1 ชิ้น ซึ่งปกติหน่วยงานที่ดูแลชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่มีสารกัมมันตรังสี เป็นหน้าที่ของสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติที่ทุกโรงงานจะต้องแจ้งรายละเอียด และการตรวจสอบ ส่วนใหญ่โรงถลุงเหล็ก จะมีการนำเข้าจากต่างประเทศ และในประเทศ ต้องรายงานสำนักปรมาณูฯ ทุกครั้ง เพื่อตรวจสอบ ต่อไปทางกรมโรงงานฯ และสำนักปรมาณูเพื่อสันติ จะหารือเชื่อมข้อมูลระหว่างกันให้มากขึ้น เพื่อป้องกันเหตุให้รัดกุมมากที่สุด” นายจุลพงษ์ กล่าว
นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข (ปลัด สธ.) กล่าวถึงการติดตามผลกระทบต่อสุขภาพหลังมีท่อบรรจุสารซีเซียม-137 หายออกจากโรงงาน และพบว่ามีการหลอมไปตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม แล้ว ว่า ขณะนี้ยังต้องรอความชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องว่ามีการระบุพื้นที่ใดบ้าง แต่เบื้องต้น ต้องมีการตรวจสุขภาพทั่วไปของพนักงานโรงงานหลอมเหล็กดังกล่าว และตรวจหาสารตกค้างในปัสสาวะ
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นสารอันตรายพิเศษทางกระทรวงสาธารณสุขไม่สามารถตรวจได้ ทางสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติ ซึ่งมีห้องปฏิบัติการพิเศษเป็นผู้ตรวจสอบ นอกจากนี้ยังมีการตรวจพื้นที่รอบๆ โรงงาน ประชาชนในอำเภอ และใน จ.ปราจีนบุรี โดยในส่วนของกระทรวงสาธารณสุข จะต้องมีการเฝ้าระวังทางสุขภาพใน 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มผิวหนัง เนื้อเยื่อ อาการจะมีตั้งแต่ตุ่มน้ำใส เนื้อตาย เป็นต้น,2. กลุ่มผู้มีอาการคลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ และ 3.3. กลุ่มอื่นๆ
อย่างไรก็ตามจากการติดตามผลกระทบทางด้านสุขภาพนับตั้งแต่ที่มีรายงานการสูญหายยังไม่พบผู้ได้รับผลกระทบเข้ารับการรักษาแต่ก็ต้องเฝ้าระวังต่อไป เพราะอาจจะมีคนที่ได้รับผลกระทบน้อยๆ ยังไม่มีอาการอะไรก็ได้ หากประชาชนมีความรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ สามารถประสานไปที่สถานพยาบาลในพื้นที่ได้ ทั้งนี้ สารซีเซียม – 137 เป็นสารที่มีครึ่งชีวิตอยู่ที่30 ปี ไม่ว่าจะเป็นในร่างกายของคนหรือสิ่งแวดล้อม จึงมีความสำคัญที่เราต้องมีการตรวจติดตามต่อเนื่อง
“ผลกระทบต่อสุขภาพจากสารซีเซียม – 137 นั้นขึ้นอยู่กับปริมาณที่ได้รับ และระยะเวลาที่ได้รับ ดังนั้นเป็นผลกระทบกับทุกคนที่ได้รับสาร ไม่เฉพาะกลุ่มเสี่ยงที่มีโรคประจำตัว เด็ก ผู้สูงอายุ คนทั่วไปได้รับผลกระทบไม่แตกต่างกันอย่างไรก็ตาม ตอนนี้ยังไม่พบความผิดสังเกต ส่วนจะต้องติดตามเรื่องสุขภาพประชาชนในพื้นที่อื่นๆ ต้องรอข้อมูลที่ชัดเจนจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ที่มีการตรวจสอบพบก่อน ทางสธ. เป็นปลายทาง เราจะเน้นเฝ้าระวังใน 3 กลุ่ม” นพ.โอภาส กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี