“ตรีนุช”แจงผลการดำเนินงานเพื่อก้าวสู่ปีที่ 131 การศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 ฝากงานที่เป็นประโยชน์ให้ทำต่อเนื่องไป
เมื่อวันที่ 30 มีนาคม 2566 น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รัฐมนตรีว่ากระทรวงศึกษาธิการ (รมว.ศธ.) เป็นประธานการประชุมสรุปผลการดำเนินงานเพื่อก้าวสู่ปีที่ 131 การศึกษาไทยในศตวรรษที่ 21 โดยมีผู้บริหารองค์กรหลักและผู้บริหาร ศธ.ร่วมรายงานผลการดำเนินงาน ณ ห้องประชุมราชวัลลภ กระทรวงศึกษาธิการ
น.ส.ตรีนุช กล่าวว่า กระทรวงศึกษาธิการ ได้ดำเนินโครงการต่าง ๆเพื่อรองรับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงโดยเฉพาะโครงการพาน้องกลับมาเรียน ซึ่งสำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) และสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สามารถพาเด็กด้อยโอกาส และเด็กกลุ่มทั่วไปเด็กตกหล่อนได้กลับมาเรียนเป็นจำนวนมาก เป็นการสร้างโอกาสให้กับเด็กและเยาวชน และสำหรับการดำเนินโครงการโรงเรียนคุณภาพของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ซึ่ง ศธ.มีโรงเรียนกว่า 3 หมื่นโรงเรียน เน้นสถานศึกษามีความปลอดภัย เป็นโรงเรียนแห่งความสุข จัดการศึกษาที่มีคุณภาพ เพื่อสร้างโอกาสให้กับเด็กทุกกลุ่ม ทั้งเด็กกลุ่มด้อยโอกาส กลุ่มปกติทั่วไป และกลุ่มโรงเรียนที่มีความเป็นเลิศ โดยมีการขยายโรงเรียนจุฬาภรณ์จาก 12 แห่ง เป็น 18 แห่ง โรงเรียนคุณภาพจัดให้มีครูภาษาอังกฤษ ครูภาษาจีน โดย ศธ.ได้จัดงบประมาณลงไปพัฒนากายภาพต่างๆ ให้มีความพร้อมมากขึ้น ซึ่งขณะนี้โรงเรียนคุณภาพยายผลเพิ่มมากขึ้น จาก 300 กว่าแห่ง เพิ่มเป็น 600 กว่าแห่ง และจะเพิ่มให้ถึง 6,000 แห่ง และมีโรงเรียนร่วมพัฒนาที่มีภาคเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุนการพัฒนาการศึกษา
นอกจากนี้ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ได้ดำเนินโครงการ “สร้างโอกาสทางการศึกษาให้เยาวชน เพื่อผลิตกำลังคนของประเทศ” หรือ “อาชีวะอยู่ประจำ เรียนฟรี มีอาชีพ” โดยมีวิทยาลัยอาชีวศึกษา 88 แห่งทั่วประเทศ ร่วมร้องรับเด็กตกหล่นเป็นการสร้างโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กกลุ่มเปาะบาง ซึ่งรัฐบาลได้อนุมัติงบประมาณกลางมาดูแลเพื่อให้เด็กได้รับโอกาสทางการศึกษาและเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา
และ สอศ.ยังได้ขับเคลื่อนโครงการเรียนร่วมหลักสูตรอาชีวศึกษาและมัธยมศึกษาตอนปลาย (ทวิศึกษา) ในกลุ่มโรงเรียนราชประชานะเคราะห์ โรงเรียนศึกษาสงเคราะห์ โครงการพระราชดำริ เพื่อสร้างโอกาสให้กับนักเรียนสายสามัญให้ได้เรียนอาชีพเสริมไปด้วย เพื่อให้เข้าถึงโอกาสทางการศึกษาและสามารถมีอาชีพมีรายได้เลี้ยงตนเอง และมีการดำเนินโครงการ ทวิภาคี ร่วมกับภาคเอกชนและสถานประกอบการ เพื่อให้ผู้เรียนสายอาชีวศึกษาได้มีโอกาสฝึกประสบการณ์ในการทำงาน ซึ่งจากเดิมตั้งเป้าทวิภาคีไว้ 10% ขณะนี้ขยับเพิ่มขึ้นเป็น 50% แล้ว โดยร่วมมือกับสถานประกอบการ กระทรวงแรงงาน สภาหอการค้า สภาอุตสาหกรรม สภาเกษตรกร สภาการท่องเที่ยว สภาดิจิทัล เป็นต้น ร่วมมือในโครงการทวิภาคี และมีการปรับหลักสูตรการเรียนร่วมกันเพื่อให้ได้ผู้เรียนที่มีสมรรถนะตอบโจทย์สภานประกอบการ และภาคธุรกิจได้อย่างแท้จริงและผู้เรียนมีรายได้ที่เหมาะสม
รมว.ศธ.กล่าวต่อว่า สำหรับการแก้ไขปัญหาหนี้สินครู ตามที่รัฐบาลมีนโยบายให้ความสำคัญกับการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาและมอบหมายให้กระทรวงศึกษาธิการ และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องร่วมแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการโดยเร่งด่วน เพื่อลดความเดือดร้อน โดยมีเป้าหมายให้ครูได้ชำระหนี้ในอัตราดอกเบี้ยต่ำหรือการรวมหนี้ครูไว้ในสถาบันการเงิน แหล่งเดียว กำหนดมาตรการที่เหมาะสมกับการผ่อนชำระหนี้ของครู เพื่อให้การขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาให้เป็นรูปธรรม นั้น ซึ่งที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาฯ ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษาอย่างเป็นระบบ โดยใช้สหกรณ์กรออมทรัพย์ครูต้นแบบเป็นฐาน มีกิจกรรมสำคัญ คือ การถอดบทเรียน การแก้ไขปัญหาหนี้สินครูจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูต้นแบบ 2 แห่ง และขยายผลไปยังสหกรณ์ออมทรัพย์ครูทั่วประเทศ จำนวน 108 แห่ง และมีมาตรการที่สำคัญ คือ
1) การลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ โดยได้รับความร่วมมือจากสหกรณ์ออมทรัพย์ครูกว่า 70 แห่งทั่วประเทศ ส่งผลให้ครูได้รับประโยชน์จากการลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนวนกว่า 460,000 ราย ภาระหนี้สินลดลงทันที 2,256 ล้านบาท สามารถนำเงินไปใช้ในการชำระหนี้ธนาคารออมสินและสถาบันการเงินอื่นให้เกิดสภาพคล่องทางการเงินสำหรับครูได้มากขึ้น 2) ยกระดับการตัดเงินเดือนและควบคุมยอดหนี้ไม่ให้เกินความสามารถในการชำระหนี้ และที่ผ่านมา กระทรวงศึกษาธิการได้ออกประกาศแนวปฏิบัติตามระเบียบกระทรวงศึกษาธิการว่าด้วย การหักเงินเดือนบำเหน็จ บำนาญเพื่อชำระเงินกู้สวัสดิการ พ.ศ.2551 โดยกำหนดให้ผู้บังคับบัญชาควบคุม กำกับ การกู้ยืมเงินสหกรณ์และสถาบันการเงินของผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเคร่งครัด 3) ชะลอการดำเนินการทางกฎหมาย โดยเจรจากับสถาบันการเงินเพื่อชะลอการฟ้องร้องดำเนินคดีผู้กู้และผู้ค้ำประกัน ธนาคารออมสินชะลอดำเนินการทางกฎหมายกับลูกหนี้ที่ผิดชำระหนี้ 25,000 ราย สหกรณ์ออมทรัพย์ครูใช้การเจรจาไกล่เกลี่ยแทนการฟ้องร้องครู
4) จัดตั้งสถานีแก้หนี้ครู ระดับจังหวัด ระดับเขตพื้นที่การศึกษา และหน่วยงานทางการศึกษา จำนวน 558 แห่ง ให้มีหน้าที่ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาหนี้สินครู การปฏิบัติหน้าที่ในฐานะคนกลางในการไกล่เกลี่ยปรับโครงสร้างหนี้ระหว่างครูกับสถาบันการเงิน เพื่อให้ครูมีสภาพคล่องทางการเงิน ดำรงชีวิตได้อย่างมีศักดิ์ศรีและมีขวัญกำลังใจในการทำงานเพื่อเป็นกำลังหลักในการพัฒนาคุณภาพการศึกษาของชาติ 5) ปรับโครงสร้างหนี้ โดยรวมหนี้มาไว้กับสถาบันการเงินที่อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ต่ำกว่าเพื่อให้ครูมียอดชำระต่อเดือนน้อยลง ปัจจุบันสหกรณ์ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว จำนวน 12,303 ราย คิดเป็นเงิน 10,400 ล้านบาท และสถาบันการเงินอื่นอีก จำนวน 26,000 ราย คิดเป็นเงิน 27,112 ล้านบาท
6) กำหนดให้หักเงินสวัสดิการ ช.พ.ค. เพื่อสามารถเป็นหลักประกันเงินกู้ได้ ปัจจุบันมีครูและบุคลากรทางการศึกษา จำนวน 365,579 ราย ใช้ ช.พ.ค. เป็นหลักประกันเงินกู้ ส่งผลให้ครูไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อทำประกัน ลดค่าใช้จ่ายลงกว่า 2,306 ล้านบาท 7) การติดอาวุธให้ความรู้และทักษะทางการเงิน กระทรวงศึกษาธิการร่วมกับธนาคารแห่งประเทศไทย ธนาคารออมสิน ก.ล.ต. และสถาบันอุดมศึกษา เปิดหลักสูตรอบรมออนไลน์ ให้ความรู้ด้านวินัยและการวางแผนทางการเงินแก่ครูและบุคลากรทางการศึกษา มีผู้สนใจเข้าร่วมอบรมกว่า 1 แสนราย ซึ่งมีผู้ผ่านการอบรมไปแล้วกว่า 27,000 ราย และอยู่ระหว่างการอบรมกว่า 80,000 ราย
นอกจากมาตรการดังกล่าวแล้ว กระทรวงศึกษาฯ ได้จัดทำข้อตกลงความร่วมมือ การแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา กับหน่วยงาน และสถาบันการเงิน จำนวน 12 แห่ง ได้แก่ กระทรวงการคลัง กระทรวงยุติธรรม กรมส่งเสริมสหกรณ์ ธนาคารแห่งประเทศไทย สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด สมาคมธนาคารไทย สมาคมสถาบันการเงินของรัฐ ธนาคารออมสิน ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2566 และได้รับความร่วมมือจากสถาบันการเงินในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ การชะลอการฟ้องบังคับคดี การไกล่เกลี่ยและการปรับโครงสร้างหนี้ มีครูและบุคลากรทางการศึกษาได้รับประโยชน์จากการทำบันทึกข้อตกลงดังกล่าวในเบื้องต้น จำนวนกว่า 92,000 ราย เป็นเงินจำนวนกว่า 1 แสนล้านบาท รวมถึงการจัดงานมหกรรมการเงินเพื่อครูไทย “Unlock a better life” สร้างโอกาสใหม่ เพื่อชีวิตครูไทยที่ดีกว่า ในส่วนกลาง ณ กรุงเทพมหานคร และขยายผลการจัดงานมหกรรม ไปใน 4 ภูมิภาคทั่วประเทศ ซึ่งได้ดำเนินการจัดไปแล้ว 3 ครั้ง ณ จังหวัดกาฬสินธุ์ จังหวัดสระแก้ว และจังหวัดพิษณุโลก มีผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้น 8,804 คน มีจำนวนผู้ได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ จำนวน 2,396 คน คิดเป็นเงิน 2,064,121,303.78 บาท และมีการอบรม เพื่อสร้างวินัยทางการเงิน จำนวน 3,626 ราย
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ยังได้มีการปรับระเบียบต่างๆ และระเบียบการประเมินครูเพื่อให้สอดรับกับการเปลี่ยนแปลงและเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้ครู และส่งเสริมครูมีการใช้ดิจิทัลมากขึ้น มีการเพิ่มอัตราครูผู้สอนในโรงเรียนขนาดเล็กให้ครบอัตรา เพื่อดูแลเด็กในโรงเรียนขนาดเล็กให้มีคุณภาพทางการศึกษา
รมว.ศธ.กล่าวอีกว่า ในส่วนของสำนักงานเลขาธิการสภาการศึกษา (สกศ.) ที่ประชุมคณะกรรมการสภาการศึกษา ได้เห็นชอบการแต่งตั้งคณะอนุกรรมการสภาการศึกษา 9 คณะ และเห็นชอบประเด็นเชิงนโยบายที่สำคัญ เช่น การมีส่วนร่วมของประชาชนในการจัดการศึกษาระดับจังหวัด การจัดตั้งหน่วยงานกลางธนาคารหน่วยกิจ แห่งชาติ และ สกศ.มีแผนการยกระดับความสามารถทางการแข่งขันทางการศึกษาไทยในเวทีโลก (IMD) มีการขับเคลื่อนการพัฒนาเด็กปฐมวัย รวมถึงการขับเครื่อนงานกรอบคุณวุฒิแห่งชาติ (NQF)
ส่วนการขับเคลื่อนงานของ สำนักงานส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ได้มีการส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาเอกชนในจังหวัดชายแดนภาคใต้ โดย สช.มีการจัดค่าใช้จ่ายกว่า 10 ล้านบาท ในการพัฒนา การนิเทศติดตาม ส่งเสริม สนับสนุนผู้บริหาร ครู โรงเรียนเอกชนในศูนย์การศึกษาอิสลามประจำมีสยิด (ตาดีกา) จำนวน 2,144 ศูนย์ ทำให้บุคลากร 15,910 คน ได้รับการนิเทศ พัฒนาด้านการจัดการเรียนการสอนให้มีคุณภาพมากขึ้น นอกจากนี้ สช.ได้เพิ่มประสิทธิภาพสถานศึกษาให้มีความปลอดภัย และปรับปรุงหลักเกณฑ์การจัดสรรเงินอุดหนุนให้สถานศึกษาปอเนาะให้ได้รับสะดวกรวดเร็วขึ้น อุดหนุนค่าอาหารกลางวันสำหรับนักเรียนเอกชนในศูนย์การศึกษอิสลามประจำมัสยิด(ตาดีกา) และปรับเพิ่มค่าอาหารกลางวันให้แก่นักเรียนระดับชั้นเด็กเล็ก ถึงระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ตามขนาดของโรงเรียน ครอบคุมนักเรียนโรงเรียนเอกชน 487,819 คน รวม 1,782 โรงเรียน
“ก็ขอฝากทุกหน่วยงานขอให้ติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง เพราะถ้าทำไม่ต่อเนื่องงานก็จะสะดุจ และเรื่องไหนที่ดีและเป็นประโยชน์ก็ขอให้ดำเนินการต่อไปเพื่อประโยชน์ของประชาชน” รมว.ศธ.กล่าว
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี