กรมราชทัณฑ์ เผยจำเลยคดีแชร์ Forex-3D“ใบเตย”นอนคุกคืนแรกเครียด-นอนไม่หลับ “ดีเจแมน” กิน-นอนปกติ ด้านคดีแชร์“แม่มณี”ศาลสั่งจำคุก 2 จำเลยกว่าหมื่นปี พบเหยื่อพุ่ง 2,500 รายเสียหายกว่า 1,300ล้านบาท ส่วนจำเลย ที่เหลืออีก 7 คน ให้ยกฟ้อง

เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2566 นายสิทธิ สุธีวงศ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ และโฆษกรมราชทัณฑ์ กล่าวถึงกรณีทัณฑสถานหญิงกลาง และเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร ได้รับตัวจำเลยในคดีร่วมกันฉ้อโกงแชร์ Forex-3D ทั้ง 6 คน รวมถึงนายพัฒนพล กุญชร หรือดีเจแมน และ น.ส.สุธีวัน กุญชร หรือใบเตย นักร้องสาวชื่อดัง ไว้ในการควบคุมเรียบร้อยแล้ว

นายสิทธิเปิดเผยว่าทางทัณฑสถานหญิงกลางและเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครได้ตรวจสอบจัดทำทะเบียนประวัติ ประเมินสุขภาพเบื้องต้น และส่งตัวเข้าสู่ห้องแยกกักโรคผู้ต้องขังรับใหม่จากภายนอก ตามมาตรการป้องกันโควิด-19 เมื่อครบกำหนดก็จะส่งตัวเข้าแดนแรกรับ ซึ่งเช้าวันเดียวกันนี้ ได้รับรายงานเพิ่มเติมว่าใบเตย มีอาการเครียดเล็กน้อย นอนไม่หลับและยังไม่รับประทานอาหาร ส่วนดีเจแมน รับประทานอาหารได้ นอนหลับพักผ่อนได้ ไม่มีสภาวะความเครียด ซึ่งทั้งสอง ให้ความร่วมมือดีในการปฏิบัติตามระเบียบของทัณฑสถานฯ และเรือนจำ

รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์ กล่าวยืนยันว่า การปฏิบัติต่อใบเตย และดีเจแมน กับพวก เป็นไปตามมาตรการรับตัวผู้ต้องขังเข้าใหม่จากภายนอก ตามปกติ และปฏิบัติต่อผู้ต้องขังด้วยความเท่าเทียมเสมอภาค พร้อมกับดูแลตามหลักสิทธิมนุษยชน

วันเดียวกัน ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่อัยการคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง น.ส.วันทนีย์ ทิพย์ประเวช หรือเดียร์ , นายเมธี ชิณภา หรือบอส สองสามีภรรยา , นายปิยะ คีรีสุวรรณกุล หรือเป้ , น.ส.พรสวรรค์ ภูอินอ้อย หรือฝ้าย , น.ส.ธวัลรัตน์ ทิพย์ประเวช มารดา ของ น.ส.วันทนีย์ , น.ส.วิไลวรรณ หงส์ประชาทรัพย์ หรือมิ้น , น.ส.นิตยา พินนอก หรือโบว์ , นายบริภัทร เข็มรัตน์ ได้ประกันตัว และนายปิยะเศรษฐ์ ธิโสภา จำเลยที่ 1-9 ตามลำดับ ในความผิดฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน

จากกรณีระหว่างวันที่ 9 มีนาคม 2562-30 ตุลาคม 2563 ต่อเนื่องกัน จำเลยทั้ง 9 ได้ร่วมกันกระทำความผิดหลายกรรมต่างวาระ โดยจำเลยที่ 1 และ 4 เจตนาทุจริตหรือโดยการหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลอันเป็นเท็จ ประกาศให้ประชาชนทั่วไปร่วมออมเงินหรือร่วมลงทุนกับจำเลย โดยอ้างจะได้ผลตอบแทนมากกว่าปกติ มีแผนการตลาดหรือรูปแบบการลงทุนเป็นวงๆ ละ 1,000 บาท ได้รับผลตอบแทน 930 บาทต่อวง เมื่อครบ 9 เดือน นับแต่วันที่ลงทุนหรือวันที่ฝากเงินยังบัญชีที่แจ้ง ผู้ลงทุนจะได้รับเงินลงทุนพร้อมผลตอบแทนวงละ 1,930 บาท ต่อมาจำเลยที่ 1 และ 4 กับพวก ได้เปลี่ยนเป็นการลงทุนระยะสั้นอีกหลายระบบหลายครั้ง ซึ่งข้อความดังกล่าวล้วนเป็นเท็จ

ทั้งนี้ การกระทำของจำเลยเป็นเพียงแต่อุบายให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินจากผู้ถูกหลอกลวง จนเกิดความเสียหายรวม 2,533 ราย มูลค่า 1,376,215,359 บาท โดยพวกจำเลยนำเงินดังกล่าวไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยทุจริต และ เป็นการกู้ยืมเงินจากผู้ให้กู้ยืมเกิน 10 คน ซึ่งมีเงินกู้ยืมรวมกันตั้งแต่ 5 ล้านบาทขึ้นไป อันมิใช่การกู้ยืมเงินจากสถาบันการเงิน ตามกฎหมายว่าด้วยดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมของสถาบันการเงิน สำหรับการกระทำของจำเลยทั้ง 9 เป็นความผิดหลายกรรมต่างวาระกัน ตามเหตุเกิดใน กทม.และจังหวัดอื่นๆ เกี่ยวพันกัน ในชั้นสอบสวน จำเลยที่ 1-2 ให้การรับสารภาพ ส่วนจำเลยอื่น ให้การปฏิเสธ

ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานแล้วเห็นว่า จำเลยที่ 1-2 ร่วมกันมีพฤติการณ์โฆษณาหลอกลวงประชาชนให้มาร่วมลงทุนโดยโอนเงินผ่านบัญชีธนาคารจำเลยทั้งสอง ส่วนจำเลยที่ 3-9 เป็นลูกจ้างของจำเลย ไม่มีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิด จึงพิพากษาว่าจำเลยที่ 1-2 ร่วมกันกระทำผิดตามฟ้องจริง เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ให้ลงโทษฐานร่วมกันกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกงประชาชน ซึ่งเป็นบทหนักสุด 2,528 กระทง จำคุกกระทงละ 5 ปี รวม 12, 640 ปี จำเลยรับสารภาพ ลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุก 5,056 ปี 15,168 เดือน อย่างไรก็ดี ตามกฎหมายคงจำคุกได้ไม่เกิน 20 ปี คงจำคุกจำเลยที่ 1-2 ไว้คนละ 20 ปี และให้จำเลยทั้งสองชดใช้เงินแก่ผู้เสียหายพร้อมดอกเบี้ย ส่วนจำเลยที่ 3-9 พยานหลักฐานโจทก์ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะลงโทษได้ พิพากษายกฟ้อง