‘ผบ.ตร.’รับส่วยทางหลวงมีจริง
สั่งเร่งตรวจสอบ
ขีดเส้น 15 วัน/ใครเอี่ยวฟันไม่เลี้ยง
‘จรูญเกียรติ’ชี้ปัญหาเก่า
‘วิโรจน์’แนะแก้ที่ต้นตอ
มูลค่าทุจริต 2 หมื่นล้าน
ผบ.ตร. ยอมรับ ส่วยสติ๊กเกอร์รถบรรทุกมีจริง สั่งตำรวจสอบสวนกลาง ตั้งชุดเฉพาะกิจตรวจสอบ ขีดเส้นรู้ผลภายใน 15 วัน สั่งสอบทุกมิติ ให้ขยายผลไปยังผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด หากพบเจ้าหน้าที่มีส่วนร่วมกระทำความผิด ฟันไม่เลี้ยง ขณะที่“พล.ต.ต.จรูญเกียรติ” ยอมรับ “ส่วย” เป็นปัญหาที่ซุกใต้พรมมานาน จ่อยุบชุดเฉพาะกิจฉาวทั้งระบบ ด้าน “วิโรจน์” ชี้“ส่วยทางหลวง” ปัญหาใหญ่กระทบคนทั้งประเทศ มูลค่าทุจริตเฉียด2 หมื่นล้านต่อปี ต้องแก้ต้นตอปัญหาต้องปราบให้สิ้นซาก
ควบคู่ทบทวนกฎหมาย ปิดช่องโหว่เจ้าหน้าที่รังควานรีดไถประชาชน
ความคืบหน้ากรณีสติ๊กเกอร์ส่วยทางหลวง หลังจากที่ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ออกมาเปิดโปง กระทั่งเมื่อคืนวันที่ 30 พฤษภาคม พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(ผบช.ก.) ลงนามคำสั่ง ให้ย้าย พล.ต.ต เอกราช ลิ้มสังกาศ ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง (ผบก.ทล.) ไปปฏิบัติหน้าที่ประจำศูนย์ปฏิบัติการ กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) และ มีคำสั่งให้ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผู้บังคับการ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (ผบก.ปปป.) รักษาราชการแทน ผู้บังคับการตำรวจทางหลวง อีก
เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผบ.ตร.) กล่าวถึงเรื่องนี้ว่าได้สั่งการให้จเรตำรวจแห่งชาติ (จตช.) ร่วมกับ บช.ก. ในฐานะผู้บังคับบัญชาตำรวจทางหลวง ให้รีบตรวจสอบเรื่องนี้โดยเร็ว สาเหตุที่ให้ทางจเรตำรวจแห่งชาติ เข้ามาตรวจสอบในเรื่องนี้ส่วนหนึ่งอาจมีความเกี่ยวข้องกับตำรวจในพื้นที่ด้วย
ยอมรับมีส่วยสติ๊กเกอร์จริง
“ยอมรับว่ามีส่วยสติ๊กเกอร์จริง ในขณะนี้ทุกฝ่ายกำลังเร่งตรวจสอบว่ามีจำนวนมากน้อยเพียงใด ส่วยสติ๊กเกอร์รถบรรทุก มีมานานแล้ว แต่ช่วงนี้เนื่องจากเป็น เพราะกระแสข่าวทำให้ถูกพูดถึงในสังคมมากขึ้น อย่างไรก็ตามได้กำชับให้ทางจเรตำรวจแห่งชาติเร่งดำเนินการคาดว่าจะมีความคืบหน้าภายใน 15 วันนี้” ผบ.ตร.กล่าว
ผบ.ตร.กล่าวอีกว่าส่วนทาง บช.ก.ได้สั่งการย้าย ผบก.ท. เพื่อให้มีการตรวจสอบอย่างโปร่งใสที่สุด สืบสวนขยายผลไปถึงผู้ที่รับส่วยหรือผู้ที่ส่งส่วย หากมีเจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องจะต้องดำเนินการขั้นเด็ดขาด ทั้งความผิดทางอาญาและทางวินัยด้วย ผู้ที่จ่ายส่วยก็คือผู้ที่ทำการขนส่ง โดยใช้รถบรรทุก ส่วนผู้รับส่วยอาจจะเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐ หรือ มีตัวกลางต่างๆที่รับมาอีกทีหนึ่ง จะต้องสรุปรายละเอียดการดำเนินการอีกทีหนึ่งซึ่งทาง ผบช.ก.ได้สั่งให้ผบก.ปปป.มารักษาการผู้บังคับการตำรวจทางหลวงแทน และยืนยันว่าตำรวจทุกนาย ถ้ากระทำผิดก็ต้องว่าไปตามผิด ปีนี้ก็ได้มีการดำเนินการปลดออก ไล่ออกไปกว่า 79 นายแล้ว
เป็นปัญหาที่ซุกใต้พรมมานาน
ที่ กองบังคับการตำรวจทางหลวง ถ.ศรีอยุธยา กรุงเทพฯ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. รักษาราชการแทน ผบก.ทล. เรียกตำรวจทางหลวงเข้าร่วมประชุมหารือถึงแนวทางการตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นส่วยรถบรรทุก โดยวันนี้ตนเรียกเจ้าหน้าที่ตำรวจทางหลวงระดับผู้กำกับการมาประชุมหารือเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินการต่อไปและกำหนดแก้ไขปัญหาเรื่องเร่งด่วน เบื้องต้นภายหลังประชุมจะมีความชัดเจนเกี่ยวกับคำสั่งที่จะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนและสำนักงานตำรวจแห่งชาติ สำหรับเรื่องการพิจารณาเอาผิดนั้น เป็นนโยบายของ ผบ.ตร. เน้นย้ำในการกวาดบ้านตัวเอง และในฐานะตำรวจทางหลวง เราไม่อยากตอบว่ามันไม่มีเรื่องส่วยเกิดขึ้น เพราะมันอยู่ในพรมมานาน ขอ ยืนยันว่าจะนำพาหน่วยนี้ให้ไปในทางที่ถูกต้อง และหากข้าราชการ เจ้าหน้าที่ตำรวจรายใดเข้ามาเกี่ยวข้อง จะต้องถูกดำเนินการเช่นเดียวกัน อีกทั้งในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ ตนจะแก้ไขทั้งระบบไปด้วยกันไม่แก้เฉพาะจุด อะไรที่ถูกหมักหมมมานาน หรือมีความเหลื่อมล้ำก็จะแก้ไขปรับปรุงไปด้วย
ใครทำผิดไม่มีข้อยกเว้น
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ยังเผยว่า ไม่มีความหนักใจที่ต้องเข้ามาแก้ไขเรื่องนี้ ขณะนี้ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ได้สั่งการให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง และตนจะตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงนี้ด้วย เราจะไม่ให้ความช่วยเหลือใคร ใครทำอะไรไว้ก็จะต้องรับในสิ่งนั้นไม่มียกเว้นแน่นอน ตนทำงานมาเยอะ มีพื้นฐานการทำงานในสิ่งอยุติธรรมมาเยอะ จะไม่ทำให้ ปปป.เสื่อมเสีย ตนมาตรงนี้แม้มาแก้ไขในช่วงสั้นๆ แต่ก็จะยกเลิกคำสั่ง แก้ไขปรับปรุงและบังคับใช้กฎหมายโดยเท่าเทียมกัน ทั้งนี้ ในบรรดาหน่วยเฉพาะกิจ ตนจะยกเลิกทั้งหมด อะไรที่เป็นปัญหาส่อทุจริต อาจจะพิจารณายกเลิกในวันนี้ และหลังประชุมเสร็จสิ้นอาจจะสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร
สั่งเร่งตรวจสอบสติ๊กเกอร์ฉาว
พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุอีกว่า ตนได้สั่งการให้ตำรวจทางหลวงทั่วประเทศเร่งตรวจสอบเรื่องสติกเกอร์ ถ้าส่อ ว่ามีการทุจริต ขอให้รวบรวมมาเพื่อเข้าสู่ขั้นตอนสืบสวนดำเนินการ แม้ว่าท้ายสุดจะมีบุคลากรตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้อง ตนก็ไม่หนักใจ ถึงจะเสียบุคลากรก็ต้องยอมรับความจริง อย่างไรก็ตาม เรื่องกรอบระยะเวลาการดำเนินการแก้ไขปรับปรุงปัญหาเรื่องนี้ ตนขอไม่ช้า เพราะเป็นคนทำงานเร็ว ลูกน้องต้องเดินตามให้ทัน ส่วนเรื่องเส้นเงิน ถ้าพบข้อเท็จจริงจะประสาน ปปป. เข้ามาดูในเรื่องการทุจริต โดยจะทำควบคู่กัน อาจจะเรียกเข้ามาพูดคุย จากนั้นจะมีขั้นตอนดำเนินการอีกครั้งในภายหลัง
เมื่อถามถึงนโยบายบังคับใช้กฎหมายอาจจะกระทบกับภาคการขนส่ง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า จริงๆ ตนก็เป็นห่วง แต่ก็อยากให้เข้าใจว่าตำรวจทำหน้าที่อำนวยความยุติธรรม ทำโดยอะลุ่มอล่วยมาตลอด เพื่อให้ฟันเฟืองทุกอย่างเดินไปได้ วันหนึ่งสิ่งที่ดำเนินการมันไม่ถูกต้อง ก็ต้องแก้ไข ทุกคนต้องยอมรับการแก้ไข ตนมาตรงนี้ไม่มีข้องเกี่ยวกับผลประโยชน์ใด จะทำตามอำนาจหน้าที่ ไม่อยากให้เดือดร้อนแต่ทุกคนก็ต้องปรับตัว
ระบุจากนี้ต้องแก้ทั้งระบบ
เมื่อต่อข้อถามถึงเรื่องการเข้ามาสะสาง ใบสั่งต่างๆและการแบ่งเปอร์เซ็นต์นั้น พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ระบุว่า เรื่องใบสั่งทางหลวง ประชาชนจะต้องยอมรับว่าใบสั่งที่โดนนั้น เป็นผลมาจากการกระทำความผิดหรือไม่ หากไม่ใช่ก็ชี้แจงได้ แต่หลังจากนี้ก็ต้องแก้ทั้งระบบทั้งเรื่องความเร็ว ระบบ และกระทรวงคมนาคมจะต้องไปแก้ไข ไม่อยากให้หมักหมม ที่สำคัญตนฝากหน่วยงานที่สูงกว่านี้ช่วยไปดำเนินการแก้ไขเพื่อให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทำงานสะดวกมากขึ้นด้วย
‘วิโรจน์’ย้ำ‘ส่วยทางหลวง’ปัญหาใหญ่
ด้าน นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร ว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงประเด็นปัญหาส่วยทางหลวง ว่า เรื่องส่วยทางหลวงไม่ใช่ปัญหาใหม่ แต่เป็นปัญหาใหญ่ มีมานานหลายสิบปี มูลค่าการทุจริตคอร์รัปชันสูงในระดับหมื่นล้านบาทและกระทบกับประชาชนทั้งประเทศ เพราะเมื่อผู้ประกอบการต้องจ่ายส่วย ทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แม้ว่าจะบรรทุกสินค้าได้เพิ่มขึ้นบ้าง ก็ไม่คุ้มกับค่าซ่อมบำรุงที่แพงขึ้น อีกทั้งเมื่อเจอกับการแข่งขันที่ต้องตัดราคากันเอง ยิ่งทำให้กำไรลดลงมาก ท้ายที่สุด จึงผลักต้นทุนจากการจ่ายส่วย ไปยังค่าขนส่ง เมื่อค่าขนส่งเพิ่ม สินค้าอุปโภคบริโภคก็ต้องปรับราคาขึ้น กระทบผู้บริโภคที่ต้องแบกรับค่าครองชีพที่สูงขึ้นตาม นอกจากนั้น รถบรรทุกที่บรรทุกน้ำหนักเกิน ทำให้ถนนหนทางชำรุดเสียหาย เป็นอันตรายต่อผู้ขับขี่ และยังสิ้นเปลืองงบประมาณในการซ่อมบำรุงรักษาถนน
นายวิโรจน์ กล่าวต่อว่า ต้นเหตุของปัญหาส่วยทางหลวง จุดเริ่มต้นอยู่ที่ข้าราชการของกรมทางหลวง บางคน ตำรวจท้องที่ และตำรวจทางหลวงบางนาย อาศัยช่องว่างทางกฎหมายไปรังควานผู้ประกอบกิจการขนส่ง ไม่ว่าจะเป็น การตรวจควันดำ ตรวจเสียง การตั้งด่านตราชั่งลอยเพื่อชั่งน้ำหนัก การเดินตรวจรอบรถแบบจุกจิกเพื่อหาเรื่องปรับ การเรียกตรวจพนักงานขับรถ ทำให้ผู้ประกอบการขนส่งเสียเวลาทำมาหากิน จากวันหนึ่งวิ่งได้ 2-3 เที่ยว อาจเหลือแค่ 1 เที่ยวเท่านั้น
ส่วยทางหลวงปีละ2หมื่นล.
นายวิโรจน์ กล่าวอีกว่า สติ๊กเกอร์แต่ละดวง มีมูลค่าแตกต่างกัน ตั้งแต่ 3,000-5,000 บาทต่อเดือน ขึ้นอยู่กับระยะทางและจำนวนด่าน บางพื้นที่อาจแพงถึงหลักหมื่น จำนวนรถบรรทุกในประเทศไทยมีทั้งสิ้นประมาณ 1.4 ล้านคัน ถ้ามีรถบรรทุก 300,000 คัน ต้องเสียเงินซื้อสติ๊กเกอร์เดือนละ 3,000-5,000 บาท เท่ากับคิดเป็น 900-1,500 ล้านบาทต่อเดือน ในปีหนึ่งมูลค่าส่วยทางหลวงอาจสูงถึง 20,000 ล้านบาท เมื่อดูข้อมูลเรื่องทุจริตที่ร้องเรียนมายังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ในแต่ละปี รวมกันเป็นมูลค่าประมาณ 200,000 ล้านบาท เฉพาะส่วยทางหลวงจึงคิดเป็นราว 10 เปอร์เซ็นต์แล้ว
ในเรื่องส่วยทางหลวง จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่ามีหรือไม่ เพราะคำตอบ คือมีแน่ และมีมานาน ดังนั้น สิ่งที่ประชาชนคาดหวังจากข้าราชการระดับบังคับบัญชา ย่อมไม่ใช่คำตอบที่บอกว่าไม่รู้หรือการปฏิเสธ ตอบแบบนั้นนอกจากประชาชนอาจหัวเราะเยาะ ยังจะตั้งข้อสังเกตด้วยว่าข้าราชการคนนั้นมีส่วนพัวพันกับส่วยทางหลวงหรือไม่ และอีกคำตอบหนึ่งที่ยอมรับไม่ได้ คือการบอกว่าจะตั้งคณะกรรมการสอบแบบแก้เกี้ยว ถ่วงเวลาให้เรื่องเงียบ สุดท้ายก็จับมือใครดมไม่ได้ ก่อนจะบอกประชาชนว่าถ้าใครมีหลักฐานให้แจ้งมา การตอบแบบนี้ ประชาชนมีสิทธิจะตั้งคำถามกลับว่าถ้ารู้อยู่แก่ใจว่ามีขยะอยู่ในบ้านตัวเอง ทำไมถึงไม่ยอมเก็บกวาด ทำไมต้องรอให้ประชาชนมาชี้ว่ากองขยะกองอยู่ตรงไหน
แนะ2แนวทางแก้ปัญหาส่วยทางหลวง
นายวิโรจน์กล่าวว่า การแก้ปัญหาส่วยทางหลวง ต้องทำควบคู่กัน 2 ด้าน ประกอบด้วย ด้านที่ 1 คือการปราบปรามวงจรการส่งส่วยให้สิ้นซาก หากหลักฐานสาวถึงข้าราชการคนใด ต้องส่ง ป.ป.ช. เอาเรื่องให้ถึงที่สุด และใช้กลไกของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ในการยึดทรัพย์ และด้านที่ 2 คือการทบทวนกฎหมาย ระเบียบ หลักเกณฑ์ต่างๆ ที่ไม่สอดคล้องในการปฏิบัติงานจริง เปิดช่องว่างให้ข้าราชการบางคน ใช้เป็นเครื่องมือในการกลั่นแกล้ง รังควาน รีดไถหรือเรียกรับผลประโยชน์จากประชาชน ถ้าพบต้องมีการดำเนินการทั้งคดีอาญาและทางวินัย ไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี