“ชัชชาติ” แถลงหลังเหตุแผ่นดินไหว ย้ำอาคารสูงในกทม. ยังรับมือได้ เร่งติดเครื่องวัดแรงสั่นสะเทือนอาคารสาธารณะ 6 รพ.กทม. ปรับระบบแจ้งเตือนเชื่อมหน่วยงานนอก พร้อมให้ความรู้ประชาชน ซ้อมรับมือเหตุในอนาคต
19 มิ.ย.66 นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นายวิศณุ ทรัพย์สมพล และ น.ส.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ร่วมกับ นายฉัตรพันธ์ จินตนาภักดี อนุคณะกรรมการด้านแผ่นดินไหว ของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย(วสท.) วิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และ นายอมรเทพ จิรศักดิ์จำรูญศรี อาจารย์ประจำคณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และนักวิจัยด้านแผ่นดินไหว แถลงข่าวผลกระทบและการเตรียมพร้อมรับสถานการณ์แผ่นดินไหว ณ หัองปัญญพัฒน์ ศาลาว่าการกทม. (เสาชิงช้า) (อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง : 'กรมธรณี'ชี้กทม.รองรับด้วยชั้นดินเหนียวอ่อน แผ่นดินไหวเมียนมาเขย่า 22 เขต)
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า จากเหตุแผ่นดินไหวเมื่อช่วงเช้า เวลา 08.40น. จุดศูนย์กลางที่นอกชายฝั่งทางตอนใต้ของประเทศเมียนมา ขนาด 6 ริกเตอร์ ความลึกประมาณ 10 กม. ห่างจากกรุงเทพมหานครประมาณ 500 กม. จากที่ให้ผู้อำนวยการเขตสำรวจ มีรับความรู้สึกได้ใน 11 เขต คือ จตุจักร บางรัก คลองเตย ลาดพร้าว บางเขน หลักสี่ ห้วยขวาง บางพลัด บางขุนเทียน หนองแขม ในส่วนที่มีอาคารสูง แต่ไม่มีรายงานความเสียหาย
“อาคารโดยทั่วไปในกรุงเทพมหานคร มีขีดความสามารถในการรับแรงสั่นไหวจากเหตุแผ่นดินไหวในระดับหนึ่งอยู่แล้ว ซึ่งขีดความสามารถที่จำเป็นของอาคารในการรองรับเหตุแผ่นดินไหว จะต้องการความเหนียวของโครงสร้าง มากกว่าความแข็งแรง เช่น การใส่เหล็กปลอกในเสาอาคาร การทำรอยต่อ ซึ่งหากการก่อสร้างได้มาตรฐาน การออกแบบเหล็กปลอกได้มาตรฐาน จะทำให้อาคารต่างๆ โดยเฉพาะอาคารที่ไม่ได้มีความสูงมากนักอย่างบ้านเรือนประชาชน สามารถรองรับแผ่นดินไหวได้ดียิ่งขึ้น กทม.มีแผนจะติดเครื่องวัดการสั่นสะเทือนแบบค่าความเร่ง ที่อาคารสาธารณะของกทม. โดยจะเริ่มในโรงพยาบาล 6 แห่ง นอกจากนั้น จะต้องมีการปรับปรุงระบบการแจ้งเตือนเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหว และเชื่อมโยงระบบจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาสู่ กทม. เพื่อให้ในพื้นที่แต่ละเขตของกรุงเทพฯ สามารถเตรียมรับมือเมื่อเกิดเหตุได้อย่างทันท่วงที และจะเพิ่มการฝึกซ้อมแผนในอาคารสูงที่อาจได้รับผลกระทบจากแผ่นดินไหวด้วย “ ผู้ว่าฯ ชัชชาติกล่าว
รองผู้ว่าฯ วิศนุ กล่าวว่า กทม.ได้เตรียมรับมือเรื่องแผ่นดินไหวโดยมีการศึกษาร่วมกับทีมวิจัยหลายมหาวิทยาลัย โดย กทม.เราได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และทีมวิจัยติดตั้งเครื่องมือวัดแรงสั่นสะเทือนของตัวอาคาร บนชั้น 36 ของอาคารธานีนพรัตน์ กทม.2 ดินแดง เหตุเช้านี้วัดได้ 3.5 milli-g (มิลลิจี) ซึ่งค่าฝที่คนสามารถรู้สึกได้ชัดเจนถึงแรงของแผ่นดินไหวได้จะอยู่ที่ 1-2 milli-g ซึ่งก็สอดคล้องกับค่าที่วัดได้ อยู่ที่ 1.5-3.5 milli-g โดยค่าดังกล่าว สำหรับ อาคารเก่าที่สร้างก่อน กฎกระทรวงปี 2550 ซึ่งไม่ได้ออกแบบให้สามารถต้านทานแรงแผ่นดินไหวได้จะสามารถต้านทานได้ อยู่ที่ 50 milli-g เมื่อวัดที่ฐานของโครงสร้าง และที่ 150 milli-g เมื่อวัดที่ยอดของโครงสร้าง ส่วนอาคารที่ออกแบบให้สามารถต้านทานแรงจากแผ่นดินไหว ตามกฎกระทรวง ปี 2550 ได้นั้น จะสามารถรับค่าความเร่งได้ถึง 100 milli-g เมื่อวัดที่ฐานของโครงสร้าง และสามารถรับค่าความเร่งได้ถึง 500 milli-g เมื่อวัดที่ยอดของโครงสร้าง
ทั้งนี้ กฎกระทรวงเกี่ยวกับแผ่นดินไหว ออกไว้ตั้งแต่ปี 2550 และมีมาตรฐานแผ่นดินไหวตัวใหม่ออกมา ปี 2564 ใช้ในปี 2565 เรามีอาคารอยู่ 2,887 อาคาร ที่ขออนุญาตโดยใช้กฎกระทรวงฯปี 2550 และมีอาคารเพิ่มตามมาตรฐานใหม่อีก 141 อาคาร รวมเป็น 3,028 อาคาร ในส่วนอาคารก่อนปี 2550 มีจำนวน 11,482 อาคาร ที่เป็นอาคารสูงตั้งแต่ 6 ชั้นขึ้นไป
ด้านนายฉัตรพันธ์ อนุคณะกรรมการด้านแผ่นดินไหว วสท. กล่าวว่า แผ่นดินไหวครั้งนี้อยู่ไกล ถ้าวัดจาก Google Earth ห่างจากกรุงเทพฯ ประมาณ 500 กม. ทำให้ผลกระทบกับกรุงเทพฯ ไม่น่าเป็นห่วงเท่าไร ระดับความรุนแรงที่เกิดขึ้น ต่ำกว่าระดับที่อาคารส่วนใหญ่ในกรุงเทพฯออกแบบไหว ต้านทานได้ไม่มีปัญหา แต่จะมีรู้สึกบ้างในตึกสูงที่จะโยกตัวและรู้สึกได้มากกว่า ทำให้คนที่อยู่ในตึกสูงรู้สึกได้ อาจเห็นโคมไฟแกว่งก็อาจเกิดตระหนกตกใจบ้าง วันนี้ถือเป็นการฝึกซ้อมอพยพ เพราะในอนาคตแผ่นดินไหวอาจเกิดที่อื่นเราไม่สามารถทำนายได้ว่าจะเกิดที่ไหน ก็ควรจะเตรียมความพร้อมไว้ ซึ่งในประเทศเรามีมาตรฐานของกรมโยธาธิการและผังเมือง ที่กำหนดมาตรฐานไว้ว่าอาคารแต่ละแบบต้องออกแบบอย่างไรให้ปลอดภัย
อ.อมรเทพ นักวิจัยด้านแผ่นดินไหว กล่าวถึงการติดตั้งอุปกรณ์วัดแรงสั่นสะเทือนของตัวอาคาร บนชั้น 36 ของอาคารธานีนพรัตน์ ว่า เช้าวันนี้วัดได้สูงสุดที่ 3.5 milli-g อาจรู้สึกได้ถึงการสั่นไหวของสิ่งของบ้าง แต่ในแง่ของความปลอดภัยของโครงสร้าง ถ้าจะให้ส่งผลกระทบอาจจะต้องมีความรุนแรงไปถึง 10-20 milli-g มั่นใจได้ว่าอาคารมีความปลอดภัย ซึ่งโครงการวิจัยนี้กำลังดำเนินการติดตั้งอุปกรณ์เพิ่มเติมในอาคารอื่นๆในกทม. อนาคตจะทำให้รู้ว่าแต่ละอาคารมีระดับความรุนแรงหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหวมากน้อยแค่ไหน สางผลกระทบอย่างไร และสามารถแจ้งเตือนไปยังผู้ใช้อาคารได้ทันที เป็นจุดเริ่มต้นที่จะให้ความสำคัญในการมอนิเตอร์อาคารสูงหรืออาคารที่มีความสำคัญในพื้นที่เมืองมากขึ้นในอนาคต
รองผู้ว่าฯ ทวิดา กล่าวถึงแผนรับเหตุแผ่นดินไหว ว่า กทม.ยังคงสำรวจอาคารและทำแผนที่อาคารอย่างต่อเนื่องรวมทั้งจะมีการสำรวจโครงสร้างเป็นระยะด้วย ซึ่งการเกิดแผ่นดินยังไม่สามารถเตือนล่วงหน้าได้ เมื่อเกิดเหตุจึงต้องมีเครื่องมือวัดและสามารถแจ้งเตือนประชาขนถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นได้เป็นเรื่องที่เราต้องเตรียมพร้อม ทั้งนี้ระบบที่ประเทศไทยมีอยู่ในขณะนี้คือ Line Alert ของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.) ร่วมกับกรมอุตุนิยมวิทยา ซึ่ง กทม.ได้ร่วมในการแจ้งเตือนเรื่องฝุ่น PM2.5 โดยจากนี้ไปจะเชื่อมโยงข้อมูลเพิ่มเติม โดยให้เขตสำรวจพื้นที่สั่นไหวที่รู้สึกได้และรายงานเข้าสู่ระบบ อีกส่วนที่ต้องดำเนินการเพื่อให้ข้อมูลความรู้แก่ประชาชนคือเรื่องของการปฏิบัติตนเมื่ออยู่ในอาคาร การซักซ้อมการเผชิญเหตุ ถึงแม้อัตราการเกิดเหตุในกรุงเทพฯจะน้อย แต่ในบางครั้งคนกรุงเทพฯเดินทางไปเที่ยวในจุดเสี่ยงจึงจำเป็นต้องให้ความรู้ด้วยเช่นกัน การทำผังอาคารและสัญลักษณ์ต่างๆ ให้ชัดเจน ที่ผ่านมา กทม.ได้ตรวจสอบอาคารที่เป็นสถานประกอบการและอาคารที่ต้องเป็นไปตามกฎกระทรวงอยู่แล้ว โดยเดิมเน้นภัยประเภทอัคคีภัยเนื่องจากมีความถี่ของการเกิดเหตุสูงสุด แต่ในขณะนี้ต้องเพิ่มเรื่องสารเคมีรั่วไหลและแผ่นดินไหวด้วย-001
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี