น้องชายร้องสื่อ พี่สาวถูก 2 ชายหญิงตีสนิทตุ๋นรีด 3 ล้านบาท แอบอ้างเคลียร์เรื่องเอกสาร‘ลัมโบร์กินี’ที่ลูกหนี้ใช้หนี้แทน แต่ติดผู้จัดการมรดกไม่ยอมเซ็นต์ให้ได้
5 กันยายน 2566 ผู้สื่อข่าว จ.นนทบุรี ได้รับการร้องเรียนจากนายฐิติพัฒน์ อายุ 40 ปี ซึ่งพักอาศัยอยู่ย่าน อ.บางกรวย จ.นนทบุรี ว่า พี่สาวคือนางอสราภรณ์ หรือเปิ้ล อายุ 54 ปี นักธุรกิจค้าส่งเสื้อผ้าย่านประตูน้ำ ถูกชายหญิง 2 คนเข้ามาตีสนิทโดยอ้างว่าสามารถดำเนินการจัดการเรื่องเอกสารครอบครองรถหรูราคาแพง “ลัมโบร์กินี” ราคา 27 ล้านบาท ที่ลูกหนี้รายหนึ่งยินยอมชดใช้ชำระหนี้มาให้กับพี่สาวตน แต่สุดท้ายเจ้าหนี้รายดังกล่าวได้เสียชีวิตลง ทำให้เอกสารที่เซ็นต์ยินยอมยกรถหรูเพื่อใช้หนี้พี่สาวตน ถูกผู้จัดการมรดกซึ่งคือแม่ของลูกหนี้ที่เสียชีวิต ปฏิเสธที่จะเซ็นต์เอกสารมอบรถเพื่อใช้หนี้ให้ ทำให้ต่อมาพี่สาวตนเองเครียดเรื่องเอกสารครอบครองรถหรูคันดังกล่าว ซึ่งต้องการนำไปขายเพื่อนำเงินมาใช้พยุงกิจการในครอบครัว ซึ่งหากไม่มีเอกสารเซ็นต์ยินยอมมอบรถหรูคันดังกล่าวมาให้ ก็จะไม่สามารถนำรถหรูคันดังกล่าวไปขายต่อได้ ทั้งๆที่เป็นรถป้ายแดงและตัวรถอยู่ในความครอบครองของพี่สาวตน
นายฐิติพัฒน์ เปิดเผยว่า ต่อมาในระหว่างที่พี่สาวตนกลุ้มใจเรื่องดังกล่าวอยู่ เพื่อนของตนได้แนะนำให้รู้จักกับชายหญิงคู่หนึ่ง ซึ่งอ้างตัวว่ามีเส้นสายรู้จักกับผู้หลักผู้ใหญ่ในหลายหน่วยงาน ทั้งผู้พิพากษาศาล อธิบดีอัยการ ตำรวจไซเบอร์ และตำรวจในพื้นที่ โดยอาสารับงานเคลียร์เรื่องเอกสารการส่งมอบกรรมสิทธิ์รถหรูให้กับพี่สาวตนได้ภายใน 7 วัน แต่ต้องเสียค่าดำเนินการเป็นเงินจำนวน 3 ล้านบาท โดยชายหญิงคู่ดังกล่าวอ้างว่าเป็นเงินที่ต้องนำไปเคลียร์ให้กับผู้ใหญ่เพื่ออำนวยความสะดวก
ต่อมาเมื่อวันที่ 11 ก.ค.ที่ผ่านมา ตนกับพี่สาวได้ตัดสินใจเดินทางไปพบกับชายหญิงทั้ง 2 คนที่บ้านพักย่านเขตประเวศ กรุงเทพฯ ซึ่งพบว่าเป็นบ้านพักหลังใหญ่ในโครงการหรู และยังมีรถเบนซ์ป้ายแดงจอดอยู่ในบ้านพัก เมื่อตนกับพี่สาวเข้าบ้านไปพูดคุยเรื่องเอกสารดังกล่าว ทางชายหญิงทั้ง 2 คน ซึ่งทราบชื่อต่อมาคือนายทศธน และ น.ส.พัทธ์ธีรา ยังได้แอบอ้างตัวอีกว่าเป็นนักธุรกิจที่มีกิจการหลายอย่าง พร้อมกับโทรศัพท์หาผู้ใหญ่คนหนึ่งแล้วพูดเสียงดังต่อหน้าว่าสามารถเคลียร์เรื่องเอกสารการครอบครองรถให้ได้ แต่มีค่าใช้จ่ายเป็น 3 ล้านบาท ทำให้ตนกับพี่สาวหลงเชื่อ นัดโอนเงินให้ชายหญิงทั้งสองคนในวันที่ 14 ก.ค. พี่สาวตนได้โอนเงินเข้าบัญชีนายทศธน ไปเป็นเงินจำนวน 1 ล้านบาท
จากนั้นต่อมาในช่วงเช้าวันที่ 20 ก.ค. พี่สาวตนได้โอนเงินเข้าไปให้อีกจำนวน 1 ล้านบาท รวมเป็น 2 ล้านบาท ซึ่งในตอนนั้นตนเห็นว่าพี่สาวได้โอนเงินให้ไปมากแล้ว จึงได้โทรพูดคุยกับชายหญิงทั้ง 2 คนว่า ให้ดำเนินการเรื่องเอกสารครอบครองรถให้แล้วเสร็จก่อน ซึ่งเมื่อจัดการเรื่องเอกสารให้เสร็จจนสามารถขายรถได้แล้ว ตนกับพี่สาวจะจ่ายเงินค่าวิ่งเต้นเอกสารที่เหลืออีก 1 ล้านบาทให้ แต่กลับถูกชายหญิงคู่ดังกล่าวแอบโทรศัพท์ไปกดดันพี่สาวตนให้โอนเงินอีก 1 ล้านบาทไปให้ โดยอ้างว่าต้องนำไปเคลียร์หน้าเสื่อกับผู้ใหญ่ที่วิ่งเต้นให้จบ ทำให้พี่สาวตนแอบไปกู้เงินแล้วโอนเงินอีก 1 ล้านบาทไปให้ชายหญิงคู่ดังกล่าวโดยที่ไม่ได้ปรึกษากับตน
นายฐิติพัฒน์ เปิดเผยอีกว่า หลังครบกำหนด 7 วัน ในวันที่ 27 ก.ค.แล้ว ทางฝ่ายหญิงคู่กรณีได้โทรศัพท์มาแจ้งว่าขอยกเลิกงานวิ่งเต้นเคลียร์เอกสารดังกล่าวให้ และพร้อมจะคืนเงินจำนวน 3 ล้านบาทให้กับพี่สาวตน จนสุดท้ายก็ไม่มีการคืนเงินจำนวนดังกล่าว ทำให้ตนรู้สึกผิดที่ทำให้พี่สาวต้องมาสูญเสียเงินจำนวนดังกล่าวไปอีก ทั้งๆที่พี่สาวตนไม่รู้จักกับชายหญิงทั้งสองคนมาก่อน แต่ตนเป็นฝ่ายที่นำไปให้พี่สาวรู้จักจนหลงเชื่อ หลงโอนเงินเป็นจำนวน 3 ล้านบาท ทำให้ตนรู้สึกผิดกับพี่สาวเป็นอย่างมาก
นายฐิติพัฒน์ เปิดเผยอีกว่า หลังจากที่พี่สาวตนหลงเชื่อโอนเงินไปจำนวน 3 ล้านบาทแล้ว ในวันที่ 21 ส.ค. ตนกับพี่สาวจึงได้เดินทางไปเข้าแจ้งความกับพนักงานสอบสวน สน.บางนา เพื่อดำเนินคดีกับบุคคลทั้งสองแล้ว ซึ่งตนเชื่อว่าจากพฤติกรรมของบุคคลทั้งสองน่าจะมีผู้เสียหายรายอื่นๆตามอีกเช่นกัน โดยในวันที่ 5 ก.ย.นี้ ทางพนักงานสอบสวนเจ้าของคดีได้ออกหมายเรียกให้บุคคลทั้งสองเดินทางมาพบเพื่อสอบปากคำเพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี