เลื่อนนัดตรวจหลักฐานคดี‘แอม ไซยาไนด์’วางยา‘ก้อย’ ศาลอนุญาตแม่เข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดี ยันหลักฐานเป็นแม่ตัวจริง แต่เปลี่ยนชื่อหลายครั้ง ‘ทนายเดชา’จ่อเรียกค่าเสียหาย 31 ล้าน มั่นใจพยานหลักฐานมัดเอาผิด ด้าน‘ทนายพัช’เย้ยไม่หวั่น มั่นใจหลักฐานในมือ เอกสารเยอะศาลนัดตรวจใหม่ สอบคำให้การจำเลยเช้าวันที่ 20 พ.ย.นี้
2 ตุลาคม 2566 ที่ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลตรวจพยานหลักฐานในคดีที่พนักงานอัยการเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง น.ส.สรารัตน์ หรือ แอม ไซยาไนด์ ในความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่น และอีกหลายฐานความผิด , พ.ต.ท.วิฑูรย์ อดีตสามีของแอม และอดีตรอง ผกก. และ น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณรัตน์ หรือทนายพัช ทนายความของนางแอม จำเลยที่ 3 ในความผิดฐานร่วมกันทำลายหลักฐาน เพื่อช่วยเหลือจำเลยที่ 1 กรณีการเสียชีวิตของ น.ส.ศิริพร หรือก้อย ในพื้นที่ จ.ราชบุรี
ในวันนี้ เจ้าหน้าที่กรมราชทัณฑ์ได้เบิกตัว น.ส.สรารัตน์ มาจากทัณฑสถานหญิงกลาง มาฟังการพิจารณา ขณะที่มารดาของ น.ส.ก้อย และครอบครัว ทนายความนายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อคดีแอม ไซยาไนด์ , พ.ต.ท.วิฑูรย์ และ น.ส.ธันย์นิชา จำเลยที่ 2-3 ที่ได้รับการประกันตัวเดินทางมาศาล
นายเดชา กิตติวิทยานันท์ ทนายความ กล่าวว่า ตนไม่รู้สึกกังวลในการนัดตรวจพยานหลักฐาน เพราะได้ศึกษาสำนวนและคำฟ้องของพนักงานอัยการมาโดยละเอียด โดยวันนี้จะยื่นคำร้องขอเรียกค่าเสียหายเป็นเงินประมาณ 31ล้านบาท ให้กับแม่ของ น.ส.ก้อย เช่น ค่าปลงศพ และจะตั้งทนายเพื่อยื่นคำร้องเรียกค่าไร้อุปการะให้กับลูกวัย 10 ขวบของผู้ตายอีกคดีหนึ่งด้วย
สำหรับคดีนี้ จำเลยที่ 1 ถูกฟ้องในข้อหาร่วมกันฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน , ฆ่าชิงทรัพย์โดยการวางยาหรือใช้สารพิษเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งบรรยายฟ้องของพนักงานอัยการได้ระบุพฤติการณ์ความผิดของจำเลยทั้งสามคนไว้ชัดเจน โดย พ.ต.ท.วิฑูรย์จำเลยที่ 2 เป็นผู้เก็บรักษาทรัพย์สินในคดี จะไปขอคำปรึกษาจากจำเลยที่ 3 ทนายพัช จึงได้พูดยุยงให้มีการทำลายพยานหลักฐาน เพื่อให้จำเลยที่ 1 หลุดจากคดี โดยกล่าวว่า “ถ้าจะสู้ให้สุดก็ต้องไม่ปรากฏของกลางและมีคดีที่ศาลยกฟ้องเพราะไม่มีของกลาง ส่วนคดีนี้ก็ควรทำให้ไม่มีของกลาง”
นายเดชา กล่าวอีกว่า พยานหลักฐานในคดีมีความชัดเจนทั้งนิติวิทยาศาสตร์ ผลการชันสูตรพลิกศพ และวัตถุพยาน ถือว่ามีความแน่นหนา แต่เป็นห่วงแทนฝั่งจำเลยมากกว่าที่พยานหลักฐานแน่นหนาขนาดนี้ แต่จะยังคงยืนกรานต่อสู้คดี
“หากการเปิดพยานหลักฐานวันนี้มีชัดเจน จำเลยอาจให้การรับสารภาพได้ และศาลอาจลดโทษจากประหารชีวิตคงเหลือจำคุกตลอดชีวิต แต่หากจำเลยยังไม่ให้การรับสารภาพ และต่อสู้ในชั้นศาลอาจจะใช้เวลาอีกประมาณ 3-4 ปี เนื่องจากมีพยานหลักฐานในคดีจำนวนมาก” นายเดชา กล่าว
ด้านนายรพี ชำนาญเรือ ผู้ประสานงานเหยื่อคดีแอมไซยาไนด์ กล่าวว่า ยืนยันว่าจะดำเนินคดีให้ถึงที่สุด เพราะผู้เสียหายได้รับความเสียหายมามากแล้ว แต่ฝากไปถึงทนายของคู่กรณีอยากให้ระมัดระวังการใช้ถ้อยคำที่เสียดแทงใจญาติของผู้เสียหายและอยากให้สงบปากสงบคำมากกว่านี้ และคำนึงถึงมรรยาททนายความด้วย ส่วนผลทางคดีนั้นขึ้นอยู่กับการพิจารณาให้ความเป็นธรรมของศาลแต่เบื้องต้นผู้กระทำผิดก็ได้รับผลกรรมแล้ว
ด้านนางทองพิน เกียรติชนะสิริ อายุ 63 ปี มารดาของ น.ส.ก้อย เหยื่อในคดีนี้ กล่าวว่า ไม่มีความหนักใจในคดีนี้ขอให้เป็นไปตามกระบวนการยุติธรรม แต่อยากให้ทางจำเลยพูดความจริง ทุกอย่างจะได้จบลง แต่ช่วงเช้าวันนี้ก็ได้จุดธูปเชิญน.ส.ก้อยขึ้นรถมาด้วย
ส่วน น.ส.ธันย์นิชา เอกสุวรรณรัตน์ หรือทนายพัช กล่าวก่อนที่จะเข้าห้องพิจารณาว่า วันนี้ตนมาในฐานะจำเลยและทนายความร่วม ซึ่งก็มีความมั่นใจในพยานหลักฐานไม่แพ้ฝั่งโจทก์ โดยหลักฐานชิ้นสำคัญที่จะนำมาต่อสู้คือ ใบบันทึกประจำวัน เรื่องที่ตำรวจ กก.5 บก.ป. ได้สั่งซื้อไซยาไนด์ผ่านช่องทางออนไลน์ ไว้ตามตำแหน่งต่างๆ ก่อนจะมีการเข้าตรวจค้น เพื่อให้มีหลักฐานทางคดี
“ตนเชื่อว่าศาลจะต้องยกประโยชน์ให้กับจำเลย เพราะ ฝั่งโจทก์มีพยานแวดล้อม และประจักษ์พยานมีไม่เพียงพอที่จะเอาผิดได้ นอกจากนี้ตนทราบว่าหนึ่งในผู้เสียหายรายหนึ่งที่อยู่ จ.นครปฐม ได้มีการถอนฟ้องไปแล้ว ซึ่งตนก็ขอความแสดงยินดีด้วย ในส่วนประเด็นที่ฝั่งโจทก์ มีความมั่นใจในเรื่องพยานหลักฐานนั้น ตนมองว่าอยากให้แม่ของก้อยเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมให้ได้ก่อน หากเข้ามาไม่ได้ก็จะไม่สามารถทำอะไรตนได้ รวมไปทั้ง เรื่องที่จะเรียกค่าเสียหายด้วย” น.ส.ธันย์นิชา กล่าว
วันนี้ น.ส.ทองพิณ มารดาผู้ตาย ซึ่งเป็นผู้ร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม สอบโจทก์แล้วไม่คัดค้าน ส่วนทนายความจำเลยที่ 2 และ 3 คัดค้านการขอเป็นโจทก์ร่วมของ น.ส.ทองพิณ โดยแถลงเพิ่มเติมว่าผู้ร้องไม่ใช่มารดาของผู้ตายในคดีนี้ พร้อมยื่นเอกสารประกอบ
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ได้ตรวจพยานหลักฐานที่คู่ความเสนอ โดยเฉพาะทนายความของผู้ร้องแถลงว่า น.ส.ทองพิณ มารดาผู้ตายได้เปลี่ยนชื่อ นามสกุล มาหลายครั้ง แต่ยืนยันว่าเป็นมารดาของผู้ตายจริง ทั้งนี้ศาลได้ดูเอกสารที่จำเลยที่ 3 และทนายความจำเลยที่ 3 อ้างส่งประกอบเอกสารที่ผู้ร้องส่งโดยเฉพาะบัตรประจำตัวประชาชน มีหมายเลขประจำตัวประชาชนถูกต้องตรงกัน น่าเชื่อว่าเป็นบุคคลเดียวกัน อีกทั้งโจทก์ไม่คัดค้าน จึงอนุญาตให้น.ส.ทองพิณ เข้าเป็นโจทก์ร่วมในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 289 ส่วนความผิดฐานอื่นเป็นความผิดต่อรัฐ ไม่อนุญาต
ทนายความจำเลยทั้งสามแถลงว่า เนื่องจากเอกสารที่ต้องตำรวจเป็นจำนวนมากและเพิ่งเห็นในวันนี้ จึงขออนุญาตเลื่อนการพิจารณาไปนัดหน้า
ศาลสอบโจทก์และทนายความโจทก์ร่วมแล้วไม่คัดค้าน ส่วนประเด็นที่ นางทองพิณ ทนายความโจทก์ร่วมยื่นคำร้องขอให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 44/2นั้นให้จำเลยที่ 1 ยื่นคำให้การในส่วนแพ่งต่อศาลภายใน 15 วัน
ศาลพิเคราะห์แล้ว เห็นว่าเพื่อประโยชน์แห่งความยุติธรรม เปิดโอกาสให้คู่ความทั้งสองฝ่ายได้ดำเนินกระบวนพิจารณาในศาลได้อย่างเต็มที่ อนุญาตให้เลื่อนไปนัดพร้อมเพื่อประชุมคดี ตรวจพยานหลักฐาน สอบคำให้การจำเลยทั้งสาม และกำหนดวันนัดสืบพยานในวันที่ 20 พ.ย.นี้ เวลา 09.00 น.
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี