“ให้ฝ่ายสืบสวนทุกหน่วยทั่วประเทศ จัดทำและตรวจสอบข้อมูลการจำหน่ายอาวุธปืนในพื้นที่ และให้ บช.สอท. เป็นหน่วยรับผิดชอบในการตัดวงจรการจำหน่ายและการสืบสวนขยายผล การนำซื้อขายอาวุธออนไลน์ การนำแบลงค์กัน (Blank Gun) ไปดัดแปลงเป็นอาวุธ โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ เพื่อตัดองค์ประกอบในการกระทำความผิด”
หนึ่งในมาตรการที่ พล.ต.ท.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยเมื่อวันที่ 4 ต.ค. 2566 ว่า พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้สั่งการหลังรับมอบนโยบายจาก เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เพื่อกำชับทุกหน่วยที่เกี่ยวข้อง ในมาตรการป้องกันการก่อเหตุอาชญากรรมด้วยอาวุธปืนในทุกพื้นที่ หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ เด็กชายวัย 14 ปี กราดยิงที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 3 ต.ค. 2566 ที่ผ่านมา และจากการสืบสวนทราบว่า ผู้เก่อเหตุใช้ปืนแบลงค์กันดัดแปลง
แต่ถึงท่าทีของตำรวจจะดู “ขึงขัง” สังคมก็น่าจะยังมีคำถาม “จะทำได้จริงหรือ?” เพราะไม่ใช่ครั้งแรกกับความพยายามของตำรวจในการกวาดล้างการลักลอบจำหน่ายอาวุธปืนบนโลกออนไลน์ หากนำข้อความ “จับขายปืนออนไลน์” ไปค้นหาในอินเตอร์เน็ต จะพบข่าวตำรวจสืบสวนจับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลางได้เรื่อยๆ อย่างล่าสุดทื่สืบค้นได้คือเมื่อวันที่ 22 ก.ย. 2566 ตำรวจ บก.สอท.5 จับกุมชายวัย 25 ปี ที่ อ.เมือง จ.ระยอง พบของกลางเป็นปืนยาวลูกกรดขนาด .22 ปืนยาวอัดลม ลูกเลื่อนและเข็มแทงชนวน กระสุนปืน .22 และเครื่องมือสำหรับผลิตอาวุธปืน หลังสืบทราบว่าผู้ต้องหารายนี้ประกาศผ่านเฟซบุ๊กว่าเปิดขายอาวุธปืนดัดแปลงที่ผลิตกันขึ้นมาเอง (หรือที่เรียกกันว่า “ไทยประดิษฐ์”)
แต่จนถึง ณ วันที่ 4 ต.ค. 2566 หรือ 1 วันหลังเหตุกราดยิงในกรุงเทพฯ หากเข้าไปค้นหาในเฟซบุ๊ก ใช้ข้อความ “ขายปืน” , , ปืนเถื่อน” , “ปืน” , “ปืนหลุดจำนำ” และอีกหลายๆ คำที่สื่อความหมายทำนองนี้ ก็ยังสามารถพบบัญชีบุคคล (Account) เพจ (Fanpage) หรือกลุ่ม (Group) ทั้งที่เป็นกลุ่เมสาธารณะ (เข้าไปดูได้เลย) และกลุ่มปิด (ต้องสมัครแล้วให้ผู้ดูแลกลุ่มพิจารณาว่าจะรับเข้ากลุ่มหรือไม่) โดยมีทั้งที่เป็นเพจหรือกลุ่มเก่า เปิดมานานแล้วและไม่ได้มีความเคลื่อนไหวมาหลายเดือนหรือเป็นปี แต่ยังไม่ถูกลบออกจากสารบบ กับที่เป็นเพจหรือกลุ่มที่ยังมีความเคลื่อนไหว มีการโพสต์ภาพปืนและพูดคุยสอบถามว่าขายหรือไม่ ราคาเท่าไร
นี่ยังไม่ต้องนับ “กลุ่มไลน์” ซึ่งเป็นพื้นที่ปิดยิ่งกว่าเพราะบุคคลภายนอกแทบจะไม่มีทางรู้ได้เลย เพราะตั้งชื่อให้ดูเหมือนไม่มีอะไร เช่น เมื่อวันที่ 22 ก.ค. 2566 ตำรวจสอบสวนกลาง บุกทลายขบวนการลักลอบขายปืนเถื่อนผ่านกลุ่มไลน์ลับ “บริษัทโคตรเสี่ยง V.7” พบมีสมาชิก 300 คน เงินหมุนเวียนกว่า 10 ล้านบาท ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นวัยรุ่นอายุ 15-20 ปี ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล เบื้องต้นยึดอาวุธปืนสั้นได้ 2 กระบอก แต่พบกระสุนปืนหลายขนาดรวมกันมากกว่า 3 หมื่นนัด
ก็ต้องบอกว่าเข้าใจและเห็นใจกับสถานการณ์ที่เหมือนกับ “แมวจับหนู” ที่วันนี้ตำรวจจับกุมผู้ขายปืนถื่อนได้ แต่วันถัดๆ ไป ก็มีผู้ขายรายใหม่ปรากฎขึ้นอีก (แถมยังมีกลยุทธ์ในการหลบเลี่ยงเพิ่มความยากในการแกะรอยของเจ้าหน้าที่) ด้วยเทคโนโลยีสื่อสังคมออนไลน์ (Social Media) ที่เข้าถึงและใช้งานง่ายอีกทั้งแทบจะควบคุมอะไรไม่ได้เลย ดังนั้นหากไม่สามารถหาวิธีอื่นที่ได้ผลกว่านี้ได้ เหตุความรุนแรงจากอาวุธปืนในเมืองไทย (ที่สื่อต่างชาติบอกว่าสูงเป็นอันดับ 2 ของอาเซียน) คงยากจะลดลง!!!
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี