2 องค์กรเอกชนประสานเสียงผลักดันขนส่งสินค้าทางทะเลเชื่อมโยง 3 ประเทศ อุปสรรคหลักคือถนน R 12 ต้องปรับปรุงได้มาตรฐานสากล
ผลจากการที่จังหวัดนครพนม โดยการนำของนายวันชัย จันทร์พร ผวจ.นครพนม ร่วมกับหน่วยงานภาคเอกชน ประกอบด้วย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย รวมถึงสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สภาอุตสาหกรรมจังหวัดนคร และ หอการค้าจังหวัดนครพนม เดินทางสำรวจพัฒนาการของเส้นทาง และด่านพรมแดนไทย-ลาว-เวียดนาม เพื่อประเมินศักยภาพทางการค้า การลงทุน และการท่องเที่ยว และพบปะหารือกันระหว่างนักธุรกิจชาวไทย กับ นักธุรกิจเวียดนาม จังหวัดฮาติงห์ (Ha Thih) จังหวัดกว่างบิงห์ (Quang Bình) ซึ่งอยู่แถบภาคกลางของประเทศเวียดนาม ระหว่างวันที่ 1-4 ตุลาคม 2566 ที่ผ่านมา
ในวันแรกทางคณะ ผวจ.นครพนม ได้พบปะหารือข้อราชการ กับคณะกรรมการประชาชนจังหวัดฮาติงห์ แลกเปลี่ยนประสบการณ์กับหน่วยงานราชการ และนักธุรกิจภาคเอกชนของฮาติงห์ ก่อนจะร่วมเดินทางไปเยี่ยมชมโรงงานผลิตเหล็กรายใหญ่ระดับโลก บริษัทฟอร์โมซา (FOMOSA) ที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตของท่าเรือหวุ๋งอ๋าง (VUNG ANG) โดยนักธุรกิจชาวไทยให้ความสนใจการขนส่งสินค้าทางทะเล ถือเป็นเส้นทางทางเลือกแห่งใหม่ ในการขนส่งสินค้าจากจังหวัดนครพนม และภาคอีสานตอนบนของไทย ผ่านพรมแดนสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) โดยเป็นเส้นทางเชื่อมโยงสู่ทะเลจีนใต้ และเอเซียตะวันออก อีกทั้งถือเป็นการย่นระยะทาง และประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการขนส่ง แต่มีปัญหาอุปสรรคด้านถนนของฝั่งประเทศลาวขาดการปรับปรุง เกิดความชำรุดหลายสิบกิโลเมตร ระยะทางประมาณ 200 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางกว่า 5 ชั่วโมง นักธุรกิจชาวไทยจึงมีความเห็นว่า หากรัฐบาลไทยยื่นมือเข้ามาช่วยสนับสนุน โดยมีเงื่อนไขในข้อตกลงร่วมกันว่า จะสนับสนุนเป็นเงินกู้หรือเก็บค่าผ่านทาง ถ้าบรรลุเป้าหมายถนนเส้นนี้จะสร้างเม็ดเงินด้านธุรกิจอย่างมหาศาล
สำหรับวันที่สองเป็นการพบปะหารือข้อราชการ และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กับ หน่วยงานราชการ และนักธุรกิจภาคเอกชนของจังหวัดกว่างบิงห์ โดยมีนายเจิ่น ถัง ประธานคณะประชาชนจังหวัดกว่างบิงห์ พร้อมคณะผู้บริหารให้การต้อนรับ ขณะที่ฝั่งไทยนอกจากนายวันชัย จันทร์พร ผวจ.นครพนม ยังประกอบด้วย นายนิวัต เจียวิริยบุญญา นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม นายจรินทร์ บุตรธิราช เลขาฯสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครพนม นายธนพัต ทีฆธนานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดนครพนม และนักธุรกิจด้านการนำเข้า-ส่งออกของจังหวัดนครพนม
ในการประชุมมี 3 หัวข้อหลักคือ 1.การค้า 2.การลงทุน และ 3.การศึกษา ทั้งนี้จังหวัดนครพนมกับจังหวัดกว่างบิงห์ ถือเป็นจังหวัดด้านการค้าระหว่างกันมายาวนาน ตั้งแต่ยังไม่มีสะพานมิตรภาพไทย-ลาว แห่งที่ 3 (นครพนม-คำม่วน) โดยเฉพาะด้านการศึกษา มีการแลกเปลี่ยนนักเรียนไทย-เวียดนาม เช่น ล่ามสาวชาวเวียดนามในที่ประชุม อดีตเป็นนักศึกษาอยู่มหาวิทยาลัยมหาสารคาม จึงมีความแคล่วคล่องภาษาไทยเป็นอย่างมาก ขณะที่ไกด์ประจำรถบัสก็เรียนจบจากราชฎักสกลนคร นอกจากนี้ก็มีพนักงานประจำโรงแรม หรือบริษัทเอกชน ส่วนหนึ่งเรียนจบจากสถาบันการศึกษาในประเทศไทย ความสัมพันธ์ด้านนี้จึงมีความโดดเด่นเป็นอย่างมาก
การหารือระหว่างไทย-เวียดนามครั้งนี้ มีนักธุรกิจหญิงชาวเวียดนาม ดำเนินธุรกิจด้านการส่งออกอาหารทะเลสดและแช่แข็ง กล่าวในที่ประชุมว่าเคยเดินทางมาประเทศไทยหลายครั้ง ด้วยการนำอาหารทะเลแปรรูปมาออกบูธจำหน่าย ตามคำเชื้อเชิญของผู้บริหารฝั่งไทย ปรากฏว่ามีเสียงตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค ก่อนกลับได้ซื้อเนื้อโคขุนไปลองชิม ยอมรับว่ามีรสชาติดี เนื้อนุ่มไม่เหนียว จึงติดต่อผู้ประกอบการเนื้อโคขุน นำเข้ามาจำหน่ายในเวียดนาม ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อทำมาค้าขายระหว่างกันอยู่ ซึ่งการหารือต่างๆมีความเห็นตรงกันว่า ให้นักธุรกิจทั้งสองประเทศ เจรจาพูดคุยในรายละเอียดปลีกย่อยกันเอง เมื่อได้ข้อสรุปแล้วทางราชการพร้อมสนับสนุนเต็มที่
นายวันชัย จันทร์พร ผวจ.นครพนม กล่าวหลังจบการประชุม ว่า ในสองวันนี้คณะส่วนราชการและภาคเอกชน มีโอกาสได้มาทัศนศึกษา เยี่ยมชมกิจกรรมต่างๆของประเทศเวียดนาม โดยเฉพาะเมื่อวานนี้เป็นการเยี่ยมเยียนจังหวัดฮาติงห์ ซึ่งเป็นจังหวัดที่มีความพร้อมศักยภาพทางด้านอุตสาหกรรม และการท่าเรือ สามารถเชื่อมโยงกับจังหวัดนครพนมของเรา ในการนำสินค้ามาส่งออกยังท่าเรือที่คิดว่าใกล้ที่สุด ซึ่งจะเป็นประโยชน์กับภาคเอกชน ในการที่จะส่งออกสินค้าไปต่างประเทศได้โดยง่าย
สำหรับวันนี้เราเดินทางมาจังหวัดกว่างบิงห์ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกับจังหวัดนครพนม คือเน้นเรื่องการส่งเสริมการท่องเที่ยว ด้านอนุรักษ์ และ ศิลปวัฒนธรรม วันนี้เราได้มาพูดคุยกันหลายเรื่อง โดยทางภาคเอกชน เราอยากให้ทางนักธุรกิจทั้งสองฝั่ง ได้มีการพูดคุยแลกเปลี่ยนกัน ซึ่งเป็นที่ยินดีที่ทั้งสองฝั่ง ได้หารือถึงการจับคู่ทางธุรกิจ เช่น นครพนมอยากได้สินค้าอะไรของประเทศเวียดนาม และประเทศเวียดนามอยากได้อะไรจากนครพนม จึงถือได้ว่าเป็นโอกาสสำคัญ ในการที่เราจะได้ร่วมมือกันในทุกๆด้าน ผมพร้อมด้วยท่านประธานบริหารคณะกรรมการประชาชนจังหวัดกว่างบิงห์ ได้มีการพูดคุยและตกลงกันว่า เราจะร่วมมือในการจับคู่ธุรกิจ จะมีการแลกเปลี่ยน ประชุมหารือกันมากยิ่งขึ้น และก็จะทำให้เรื่องเศรษฐกิจ การค้า การท่องเที่ยว มีความยั่งยืน และคาดว่าเราจะมีความร่วมมือกันอย่างนี้ตลอดไป
ด้าน นายธนพัต ทีฆธนานนท์ ประธานหอการค้าจังหวัดนครพนม เปิดเผยว่า ในการประชุมได้หลายเรื่องมาก เรื่องแรกในการแมทชิ่ง (matching) ด้านธุรกิจ ถือเป็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นได้ทันที ประเด็นที่ทางเราหารือคือเส้นทาง R 12 (ท่าแขก-ด่านนาเพ้า) นับจากนครพนมถึงประตูด่านเวียดนาม คิดเป็นระยะทาง 285 กิโลเมตร มีระยะที่สั้นแต่เราใช้เวลานาน เราจะทำอย่างไรที่จะหารือและหาทางออกร่วมกัน เพื่อใช้เวลาการเดินทางให้น้อยลง และจากการพูดคุยกับนักธุรกิจเมืองกว่างบิงห์ ซึ่งเขาใช้สินค้าของเราอยู่ก่อนแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเนื้อโคต่างๆ ส่งขายผู้บริโภคฝั่งกว่างบิงห์ ในช่วงเย็นจะมีการแมทชิ่งกันอีกรอบ โดยทางเราจะนำเสนอสินค้า เพื่อส่งออกมายังกว่างบิงห์เพิ่มมากขึ้น ความสำเร็จครั้งนี้เป็นการต่อยอดมาตั้งแต่ปี 2547 ที่เราลงนามเป็นเมืองพี่เมืองน้องกัน เป็นการต่อยอดการเซ็นร่วมมือร่วมกันระหว่าง 2 จังหวัด วันนี้ถือว่าประสบความสำเร็จ เพราะเป็นการเชื่อมต่อกิจกรรมที่ทำด้วยกันมาโดยตลอด
ขณะที่ทางด้าน นายจรินทร์ บุตรธิเดช เลขาฯสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครพนม กล่าวว่า ทางสภาอุตสาหกรรมฯ ได้พาคณะสภาอุตสาหกรรมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 21 จังหวัด มาร่วมสำรวจเส้นทางนครพนม-กว่างบิงห์-ฮาติงห์ และท่าเรือของ 2 จังหวัดของเวียดนาม คือ ท่าเรือหวุ๋งอ๋าง และท่าเรือกว่างบิงห์ ซึ่งเรามองถึงศักยภาพที่จะเชื่อมต่อระหว่านครพนมสู่ทะเลจีนใต้ โดยการขนส่งสินค้าทางทะเล จะสามารถช่วยภาคการขนส่งผ่านด่านนครพนม ให้มีมูลค่าสูงขึ้น ซึ่งวันนี้มีตัวแทนบริษัท SACL ที่มาลงทุนยังศูนย์ขนส่งการค้าชายแดน จ.นครพนม ให้เกียรติมาร่วมคณะเดินทางเพื่อสำรวจเส้นทาง ซึ่งบริษัท SACL อยู่ในกลุ่มบริษัทโง้วฮก ถือเป็นบริษัทเดินเรือของไทยที่ใหญ่สุดในประเทศอยู่แล้ว ตรงนี้เรามองเห็นศักยภาพของเส้นทาง และคิดว่าผู้บริหารบริษัท SACL ก็เล็งเห็นศักยภาพนี้ด้วยเช่นกัน ต่อไปจะเป็นการลงรายละเอียดการศึกษาเชิงลึก เพื่อที่จะเชื่อมโยงนครพนมสู่ทะเลจีนใต้ ผ่านท่าเรือของเวียดนาม
นอกจากนี้นายจรินทร์ บุตรธิเดช เลขาฯสภาอุตสาหกรรมจังหวัดนครพนม กล่าวถึงอุปสรรค์ว่า ปัจจุบันเส้นทางการขนส่งสินค้า ที่ส่งออกจากด่านนครพนมไปยังเวียดนามหรือต่อไปยังประเทศจีน อุปสรรคหลักก็คือสภาพเส้นทางในประเทศลาว หมายเลข R 12 ระยะ 147 กิโลเมตร นับตั้งแต่เมืองท่าแขกผ่านเมืองยมราช สิ้นสุดที่ด่านจาลอของเวียดนาม สสภาพเส้นทางชำรุดค่อนข้างมาก และไม่มีไหล่ทาง ทั้งนี้ทางเนด้าหรือสำนักงานความร่วมมือพัฒนาเศรษฐกิจกับประเทศเพื่อนบ้าน (องค์การมหาชน) ได้ทำการศึกษาตั้งแต่ปี 2562 และดำเนินการออกแบบเป็นที่เรียบร้อย พร้อมนำเสนอต่อทางรัฐบาลลาว เพื่อจัดหาเงินทุนมาให้กู้ยืม เพื่อการซ่อมบำรุงเส้นทาง โดยปรับสภาพให้มีความสมบูรณ์ ด้วยพื้นยางแอสฟัลท์ตลอดสาย และขยายไหล่ทางออกข้างละ 1.5 เมตร ซึ่งถ้าโครงการนี้ได้รับการผลักดัน จะทำให้ถนนสาย R 12 ที่เชื่อมต่อการส่งออกจากนครพนม ไปยังประเทศเวียดนาม มีความสะดวกเพิ่มขึ้น และยังลดเวลาในการขนส่งได้อย่างมาก จริงๆแล้วระยะทางด่านนครพนมถึงด่านจาลอประเทศเวียดนาม เพียง 160 กิโลเมตร แต่ต้องใช้เวลาเดินทาง 6-7 ชั่วโมง เนื่องจากสภาพถนนไม่เอื้ออำนวย
นายจรินทร์กล่าวต่อว่า สำหรับการลงทุนของเนด้า จะให้เงินทุนแก่รัฐบาลลาวในการปรับปรุงเส้นทาง ถ้าได้รับการผลักดันสำเร็จ การส่งออกผ่านด่านนครพนม จะสามารถเพิ่มมูลค่าได้อย่างรวดเร็ว เพราะสภาพเส้นทางเป็นอุปสรรคหลัก โดยสินค้าหลายประเภท มีมูลค่าสูง และบริษัทประกันภัย ประเมินว่าเส้นทางนี้มีความเสี่ยงสูง ทำให้สินค้าหลายๆอย่าง ไม่สามารถใช้เส้นทางนี้ได้ ถ้ามีการปรับปรุงให้อยู่ในระดับมาตรฐานความปลอดภัย เป็นที่ยอมรับระดับสากล จะทำให้สินค้าหลายๆกลุ่ม สามารถมาใช้เส้นทางนี้ได้ ปัจจุบันมีสินค้าในกลุ่มอิเล็คทรอนิกส์ มูลค่าถึงตู้คอนเทรนเนอร์ละ 80-120 ล้านบาทต้องหันไปใช้เส้นทาง R 9 (มุกดาหาร-สะหวันเขต-ด่านลาวบาว) แทน เพื่อหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ ถ้าเราช่วยกันผลักดันให้ถนน R 12 ได้รับการปรับปรุง โดรการสนับสนุนให้ทางเนด้าออกเงินทุน ให้ทางรัฐบาลลาวกู้ยืม ในอัตราดอกเบี้ยต่ำ น่าจะส่งผลให้การเดินทางเป็นไหอย่างสะดวก โดยเฉพาะอย่างยิ่งรถบรรทุกสินค้า สามารถทำเวลาได้เพียง 4 ชั่วโมง และมีความปลอดภัยในการขนส่งสูง ทั้งนี้ถ้าเนด้าสามารถเสนอเรื่องต่อสำนักงบประมาณฯ และคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ ในเงื่อนไขที่ทางการลาวเสนอมา จะส่งผลดีอย่างยิ่งต่อเศรษฐกิจของ จ.นครพนม โดยเฉพาะการค้าระหว่าง 3 ประเทศ ไทย-ลาว-เวียดนาม สามารถส่งออกไปยังประเทศจีน จะเพิ่มมูลค่าการค้าชายแดนของ จ.นครพนม ได้เป็นอย่างมาก
ด้าน นายชัยเวศน์ ผลวิสุทธิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท SACL ตั้งอยู่เขตยานนาวา กรุงเทพฯ เปิดเผยว่า ประเทศเวียดนามมีศักยภาพ ในการขนส่งสินค้าออกทางทะเล ไปยังประเทศจีน ญี่ปุ่น และ เกาหลีใต้ หรือโซนทะเลจีนใต้ทั้งหมด สามารถย่นระยะและเวลาได้ โดยในกลุ่มของสินค้าแถบอีสาน ถ้าจะวิ่งลงไปทางแหลมฉบัง จ.ชลบุรี ก็ต้องใช้เวลาค่อนข้างมาก ถ้าจะส่งไปยังจีนหรือญี่ปุ่น ตรงนี้จะเป็นการเชื่อมต่อระหว่างชายแดนนครพนมกับเวียดนาม เพื่ออกสู่ทะเล เป็นการเพิ่มประสิทธิภาพ และการแข่งขันด้านโลจิสติกส์
“ความเป็นไปได้ด้านการขนส่งทางทะเลที่ท่าเรือหวุ๋งอ๋าง โดยศักยภาพของสินค้าที่เราส่งออกทางโซนอีสาน จะมีแป้งมันสำปะหลัง น้ำตาล ยางพารา และข้าวสาร 4 ประเภทนี้ถือเป็นสินค้าหลักที่ส่งออกที่ท่าเรือแหลมฉบัง ในการศึกษาเส้นทางเป็นไปได้ ว่า ส่วนหนึ่งของสินค้าจะส่งผ่านทางท่าเรือหวุ๋งอ๋าง หรือท่าเรือกว่างบิงห์ ซึ่งทั้งสองท่านี้มีความเป็นไปได้ในด้านของพิธีการ ด้านการขนส่ง ถ้าสามารถลดขั้นตอนค่าใช้จ่ายสำหรับผู้ขนส่งได้ ความร่วมมือระหว่าง 3 ประเทศ ตกลงไปทิศทางเดียวกัน สามารถแข่งขันทางธุรกิจ จึงมีความเป็นไปได้สูงที่สินค้าจะออกทางนี้ และเป็นการเพิ่มมูลค่าการส่งออกของ จ.นครพนม ได้อย่างแน่นอน” นายชัยเวศน์ ผลวิสุทธิ์ กล่าว.
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี