พ่อแม่แรงานไทยในอิสราเอลชาวศรีสะเกษ รอไม่ไหวต้องโอนเงินให้ลูกซื้อตั๋วเครื่องบินกลับไทย หลังสถานการณ์รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เผยจะได้กลับถึงไทย 16 ต.ค.66 นี้
วันที่ 14 ต.ค.2566 ที่บ้านเลขที่ 20 หมู่ 11 บ้านหนองคู ต.โพนยาง อ.วังหิน จ.ศรีสะเกษ นายสุริยะ สำเภา กำนันตำบลโพนยาง พร้อมด้วยผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านในพื้นที่ลงพื้นที่เยี่ยมให้กำลังใจ ครอบครัวของนายธนาชัย จันสมุด อายุ 32 ปี แรงงานไทยที่อิสราเอล หลังตกอยู่ในสถานการณ์การสู้รบสงคราม ระหว่างกลุ่มฮามาสกับอิสราเอล ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค.66 ที่ผ่านมา เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตและถูกจับเป็นตัวประกันตามที่ปราฎในสื่อต่างๆ ซึ่งที่บ้านหลังดังกล่าวได้พบกับนายสดชัย จันสมุด อายุ 54 ปี นางทองอินทร์ จันสมุด อายุ 50 ปี พ่อและแม่ของนายธนาชัย แรงงานไทยในอิสราเอล กำลังนั่งจุดธูปกราบไหว้ขอพรท้าวเวสสุวรรณ ที่ตั้งอยู่บริเวณหน้าบ้าน เพื่อบนบานสานกล่าวให้ลูกปลอดภัยและกลับมาสู่อ้อมอกพ่อและแม่ จากได้พูดคุยกับลูกชายผ่านวีดีโอคอลเฟซบุ๊กเพื่อสอบถามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด โดยมีญาติพี่น้องแห่ให้กำลังใจกันอย่างล้นหลาม
นายธนาชัย เป็นหนึ่งในแรงงานไทยที่ได้แจ้งความประสงค์ต้องการเดินทางกลับประเทศ โดยมีกำหนดเดินทางกลับถึงประเทศไทย ในวันที่ 16 ต.ค.2566 จากสนามบินอิสราเอลมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ จากนั้นเดินทางโดยสายการบินในประเทศจากสนามบินสุวรรณภูมิ มาลงที่สนามบินอุบลราชธานีคาดว่าจะถึงเวลา 17.00 น.ของวันที่ 16 ต.ค.2566 นี้โดยทางสำนักงานแรงงานจังหวัดศรีสะเกษได้มีการจัดเตรียมรถตู้ไว้คอยอำนวยความสะดวกรับส่งครอบครัวไปรับแรงงานที่สนามบินอุบลฯ ส่งกลับถึงบ้านด้วย
จากการสนทนาผ่านวีดีโอคอลนายธนาชัย แรงงานชาวอำเภอวังหิน กล่าวว่า ตนได้เดินทางไปทำงานที่อิสราเอล เมื่อช่วงเดือน ธ.ค.2561 และจะครบกำหนดสัญญาในเดือน ธ.ค.2566 นี้ แต่เมื่อมาเกิดสถานการณ์การสู้รบสงครามที่นับวันจะมีแต่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตนจึงตัดสินใจขอกลับบ้านเกิดก่อนกำหนดสัญญา ไม่ต้องการอะไรแล้ว รู้สึกกลัวมาก ตั้งแต่เกิดเหตุสู้รบกันมา ทุกคืนตนนอนไม่ได้เลย เพราะแรงระเบิดทำให้แผนดินสั่นสะเทือนตลอดเวลา ตอนนี้รู้สึกโล่งใจที่จะได้กลับแผ่นดินเกิด แต่ก็ยังมีเพื่อนๆ คนไทยในแคมป์เดียวกันอีกหลายคนที่อยากจะกลับบ้านแต่ยังไม่มีโอกาส
ตั้งแต่เกิดเหตุสงครามจนถึงวันนี้ นายจ้างก็ยังคงให้แรงงานทุกคนไปทำงานตามปกติ ซึ่งแรงงานคนไทยตอนนี้ส่วนมากไม่อยากออกไปทำงาน เพราะกลัวในเรื่องความปลอดภัย แต่ไม่ทำก็จะไม่มีเงินค่าตั๋วเครื่องบินเดินทางกลับบ้าน จึงต้องเสี่ยงชีวิตออกไปทำงาน ท่ามกลางสถานการณ์การสู้รบ ตนคิดว่าถ้ารอรัฐบาลก็คงจะนาน ไม่รู้ว่าวันไหนเดือนไหนจะได้กลับ จึงต้องไปทำงานเพื่อให้ได้เงินในการซื้อตั๋วเดินทางกลับเอง นี่แม่ก็ได้โอนเงินค่าตั๋วเครื่องมาให้จึงได้กลับเร็ว
"ผมอยู่ในพื้นที่สีแดง รถที่วิ่งเข้ามาในพื้นที่หากไม่ใช่รถพยาบาล หรือรถทหารวิ่งเข้ามาในพื้นที่สีแดงนี้ ถ้าไม่รู้จักเขาจะยิงหมด เพราะพื้นที่ดังกล่าวมีการประกาศภาวะฉุกเฉิน ผมอยู่ภาคกลางตอนล่าง ติดกับภาคใต้ตอนบน ห่างจากจุดฉนวนกาซาประมาณ 20 กม. ส่วนสนามบินอยู่ทางภาคเหนือ ห่างจากแคมป์คนงานประมาณ 80-90 กม.ซึ่งในวันเดินทางกลับนายจ้างจะเป็นคนไปส่ง แต่ก็มีค่าใช้จ่ายในการรับส่งคนละประมาณกว่า 3,000 บาท โดยจะมีรถตำรวจ รถทหารนำขบวน เพื่อความปลอดภัย"
ด้านนางทองอินทร์ จันสมุด อายุ 50 ปี กล่าวว่า วันแรกลูกชายได้ส่งรูปสถานการณ์การสู้รบมาให้ดู ตนรับไม่ได้เลย เพราะรุนแรงมาก แต่ก็โชคดีที่สุดคือ เราสามารถติดต่อกับลูกชายได้ตลอด ได้แต่ห่วงลูกและบอกให้ลูกหาที่หลบภัยและตนจะให้ลูกชายกลับ ซึ่งลูกชายก็ยืนยันจะกลับ ซึ่งการเดินทางกลับต้องมีค่าใช้จ่าย โดยตนได้โอนเงินไปให้ลูกชาย จำนวน 37,500 บาท จากประเทศอิสราเอลมาลงที่สนามบินสุวรรณภูมิ และนั่งเครื่องต่อจากสนามบินสุวรรณภูมิมาลงที่สนามบินอุบลราชธานี ซึ่งตนและญาติๆได้เตรียมตัวไปรับขวัญลูกอย่างใจจดใจจ่อ และขอขอบคุณทางด้านของกระทรวงแรงงาน ที่จะอำนวยความสะดวกในเรื่องของรถรับส่งและประสานข้อมูลในทุกๆด้านอีกด้วย - 003
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี