เปิดอีกคลิปหน้าบังเกอร์ ก่อน‘แรงงานไทย’ในอิสราเอลถูกจับเป็นตัวประกัน 2 ครอบครัวที่อุดรธานี สุดห่วงยังติดต่อไม่ได้ หวังเป็นข่าวดีหลัง‘ฮามาส’จะปล่อยตัวประกัน เผยหนึ่งในคนไทยล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่เด็ก ผ่านวิกฤติ‘สึนามิ’มาแล้ว
ผู้สื่อข่าว จ.อุดรธานี รายงานว่า เมื่อวันที่ 18 ตุลาคม 2566 มีคลิปก่อนแรงงานไทยในอิสราเอลถูกจับเป็นตัวประกัน โดยเป็นคลิปขณะที่แรงงานไทยยืนอยู่หน้าบังเกอร์ และปรากฏว่าถนนหน้าคิบบูตมีการยิงต่อสู้กัน โดยก่อนหน้านี้มีคลิปกลุ่มแรงงานไทยกำลังเดินไปที่บังเกอร์ แต่คลิปล่าสุดเป็นเหตุการณ์ก่อนแรงงานไทยจะถูกจับเป็นตัวประกัน ประกอบไปด้วยนายมณี , นายอนุชา , นายคมกริช ,ชาวต่างชาติ และนายณัฐพล รวมถึงนายเกียรติศักดิ์
ในคลิปนี้จะเห็นกลุ่มแรงงานไทยยืนอยู่หน้าบังเกอร์ เห็นนายมณียืนอยู่กลางถนน และมีเสียงคนถ่ายคลิป “โห..เสียงปืน คงจะมีคนตายอยู่นะ ได้ยินเสียงปืนยิงกัน” คลิปที่ 2 ได้ยินเสียงปืนรัวเป็นชุด แรงงานไทยหน้าบังเกอร์ก็บอกว่า “อยู่หน้าคิบบุตเลย” จากนั้นก็เห็นเจ้าหน้าที่ของอิสราเอลถือปืนเดินไปสองคน โดยมีรถปิคอัพสีขาวจอดอยู่กลางถนน และเสียงหนึ่งในแรงงานไทยก็บอกว่า “เข้ามาหน่อย อย่าไปชะเง้อแบบนั้น ลูกปืน ฟิ้วๆ อยู่” และเพื่อนๆก็บอกให้นายมณีเข้าไปในบังเกอร์ และในคลิปจะสังเกตเห็นนายท็อปใส่เสื้อแขนยาวสีดำสลับเขียวยืนอยู่หน้าบังเกอร์ จากนั้นคลิปก็ตัดไป โดยเพื่อนๆของแรงงานไทยที่ถูกจับเป็นตัวประกัน บอกว่าเป็นคลิป 8 นาทีก่อนจะถูกจับ ขณะที่หลังจากกลุ่มฮามาสได้ออกมาประกาศว่าจะปล่อยตัวประกันที่ไม่ใช่คนอิสราเอล
ผู้สื่อข่าวเดินทางไปพบกับนายคำสี อายุ 63 ปี ซึ่งเป็นพ่อของนายเกียรติ อายุ 35 ปีหรือ “ท็อป” หนึ่งในแรงงานไทยที่มีชื่อถูกจับเป็นตัวประกัน พบว่า นายคำสี พร้อมภรรยาต้องออกมาอยู่บ้านของลูกชายที่ส่งเงินมาสร้างเอาไว้ที่ปลายนา
นายคำสี เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า 12 วันแล้วที่รอฟังข่าวลูกชาย ได้ยินข่าวว่ากลุ่มฮามาสจะปล่อยตัวประกันตั้งแต่วันที่ 17 ต.ค.66 รู้สึกดีใจขึ้นมาในระดับหนึ่ง หลังจากที่ผ่านมา หัวอกคนเป็นพ่อไม่กินข้าว นอนก็ไม่หลับ จนภรรยาต้องให้ดื่มน้ำแทน 12 วันที่ผ่านมาบอกได้ตรงๆ ห่วงลูกชายมาก ญาติๆจะพากันไปบนบานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนดีไปหมด ไปหาหมอดูหลายที่ท่านบอกว่า ท็อป และเพื่อนๆที่ถูกจับเป็นตัวประกัน ยังปลอดภัยดี และมีชีวิตอยู่ เดี๋ยวเขาก็ปล่อยตัวมา เราทำได้เท่าที่พ่อทำได้ หวังลูกชายจะได้รับการปล่อยตัว และกลับมาเมืองไทย จะได้เห็นหน้าลูกชาย เมื่อวันที่ 17 ต.ค.66 ตนก็ไปเยี่ยมพ่อของนายมณี เพื่อไปให้กำลังใจกัน หัวอกคนเป็นพ่ออยากไปเยี่ยมกัน
สำหรับลูกชายไปทำงาน 4 ปีกว่าแล้ว เดือนเมษายนปีหน้าจะครบแท็กกลับมาบ้านแล้ว เขาส่งเงินมาให้พ่อสร้างบ้านเอาไว้และซื้อรถไถนั่งขับให้ เพราะเห็นพ่อเหนื่อยทำนา และให้ขุดสระเลี้ยงปลาเอาไว้ เห็นบอกว่าหลังจากกลับจากอิสราเอลจะกลับมาทำไร่ทำนาสานฝันแทน พ่อจะได้ไม่เหนื่อย และเขาบอกจะเลี้ยงและดูแลพ่อเอง ตอนนี้รอปาฏิหาริย์และภาวนาให้ลูกชายได้ถูกปล่อยตัวออกมา
ขณะที่นายแสวง อาของนายท็อป ยังมีความหวังว่าหลานชายยังมีชีวิตอยู่ และบอกอีกว่าหลานชายล้มลุกคลุกคลานมาตั้งแต่เด็ก หลังจากพ่อและแม่แยกทางกันได้มาอยู่กับพ่อ ไปทำงานโรงแรมภูเก็ตผ่านคลื่นสึนามิมาได้ แต่ก็มีอาการจิตเวชช่วงหนึ่งจนต้องพาไปรักษาจนหายปกติ หลังจากนั้นตนพาไปทำงานขับรถบดถนน เคยเป็น รปภ.ที่กรุงเทพฯ อยู่หลายปี ไปทำงานไต้หวัน และตอนท้ายไปทำงานอิสราเอล ชีวิตเขาผ่านอะไรมา แต่ไม่เคยท้อชีวิต หลานชายบอกว่าเขาไม่อยากให้พ่อเหนื่อยจะหาเงินมาดูแลพ่อเอง ตนห่วงหลานชายเหมือนพ่อคนหนึ่ง ตอนนี้หวังว่า ท็อป ยังปลอดภัยและมีชีวิตอยู่
ขณะเดียวกันอีกครอบครัวที่ยังถูกจับเป็นตัวประกัน คือ นายบุญถม ชาว อ.สร้างคอม นางอุไร อายุ 61 ปี พี่สาวนายบุญถม เปิดเผยว่า หลังข่าวว่าจะมีการปล่อยตัวประกัน รู้สึกดีใจขึ้นมามาก และมีความหวัง ฝากถึงรัฐบาลไทยช่วยรีบพาตัวออกมาโดยเร็ว เกรงว่าผู้ที่ถูกจับเป็นตัวประกันจะหิวข้าวหิวน้ำ ไม่ได้กินข้าวกินน้ำ ตั้งแต่น้องชายถูกจับไปเป็นตัวประกันก็ไม่ได้ข่าวเลย ผ่านมาแล้ว 12 วัน ไม่ได้ยินข่าวว่าน้องชายเป็นตายร้ายดีอย่างไร หากน้องชายกลับมาถึงประเทศไทย ทางบ้านจะทำพิธีบายศรีสู่ขวัญให้ยิ่งใหญ่เพื่อต้อนรับการกลับมา
-005
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี