ปล่อยตัว‘เบนซ์เรซซิ่ง’
ศาลฎีกายกฟ้องคดีค้ายา
ศาลฎีกาพิพากษายกฟ้อง“เบนซ์เรซซิ่ง”ข้อหาสมคบค้ายาเสพติดส่วนความผิดฐานฟอกเงินโทษจำคุก 3 ปี 4 เดือน แต่อยู่ในเรือนจำมา 4 ปีเศษแล้ว จึงให้ปล่อยตัววันนี้แม่ไปรับลูกที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง
จากกรณีศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดียาเสพติด หมายเลขดำ อย.2201/2560 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้อง นายอัครกิตติ์วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์เรซซิ่ง อายุ 36 ปี อดีตสามีแพทณปภา ตันตระกูล นักแสดงและพิธีกรสาวชื่อดัง นายสรรเสริญ รสานนท์ หรือเน็ต อายุ 41 ปี ชาว จ.นนทบุรี และ น.ส.อังสุพร อินา หรืออุ้ม อายุ 35 ปี ชาว จ.น่าน สองสามีภรรยา เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เพื่อกระทำความผิดเกี่ยบกับยาเสพติดฯ, ฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3, 4, 6, 10, 14 และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3, 5, 9, 60นั้น
เมื่อวันที่ 24ตุลาคม2566 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดียาเสพติด หมายเลขดำ อย.2201/2560 ที่พนักงานอัยการคดียาเสพติด 10 เป็นโจทก์ ยื่นฟ้องนายอัครกิตติ์วรโรจน์เจริญเดช หรือ เบนซ์เรซซิ่ง อายุ 36 ปี อดีตสามีแพทณปภา ตันตระกูล นักแสดงและพิธีกรสาวชื่อดัง นายสรรเสริญ รสานนท์ หรือเน็ต อายุ 41 ปี ชาวจ.นนทบุรี และ น.ส.อังสุพร อินา หรืออุ้ม อายุ 35 ปี ชาวจ.น่าน สองสามีภรรยา เป็นจำเลยที่ 1-3 ในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยบกับยาเสพติด ฯ ,ฐานร่วมกันฟอกเงิน ตาม พ.ร.บ.มาตรการในการปราบปรามผู้กระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด พ.ศ.2534 มาตรา 3,4,6,10,14 และ พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 ตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 มาตรา 3,5,9,60
โดยอัยการโจทก์ยื่นฟ้องคดีเมื่อวันที่ 26 พ.ค.2560 ระบุพฤติการณ์ความผิดสรุปว่าเมื่อต้นเดือน พ.ย.2559- 2 ก.พ.2560 จำเลยทั้งสาม กับนายณัฐพล หรือบอย นาคคำ จำเลยคดีค้ายาเสพติด ของศาลอาญา กับพวกที่หลบหนี โดยร่วมกันวางแผนแบ่งหน้าที่กันทำในการเป็นผู้จัดหา ครอบครอง เก็บรักษา ลำเลียงยา หาลูกค้าและเป็นเครือข่ายการรับยาเสพติด รวมทั้งจัดการด้านการเงินที่เกี่ยวข้องที่นายณัฐพล หรือบอย กับพวกเป็นผู้จัดหายาเสพติดและเป็นผู้ประสานงานในการขนถ่ายลำเลียง ซึ่งวันที่ 26 พ.ย.59 เจ้าพนักงานได้จับกุม พร้อมของกลางยาบ้า 140,000 เม็ด และยาไอซ์ชนิดเกล็ดสีขาว น้ำหนัก 19 กก.เศษ โดยนายณัฐพล หรือบอย นาคคำ ได้โอนเงินที่ได้จากการค้ายาเสพติด เข้าบัญชีนายอัครกิตติ์, นายสรรเสริญ และน.ส.อังสุพร รวม 53 ครั้ง เป็นเงิน 11,072,547 บาท ซึ่งนายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ไปซื้อรถลัมโบร์กินี และรถจักรยานยนต์ราคาแพงด้วย เหตุเกิดที่แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม, แขวงจอมพล เขตจตุจักร, กทม. และที่อื่นๆเกี่ยวพันกัน ในชั้นสอบสวนและชั้นพิจารณา นายอัครกิตติ์จำเลยที่ 1 ให้การปฏิเสธโดยตลอด ส่วนจำเลยที่ 2-3 ให้การรับสารภาพผิดฐานฟอกเงินเท่านั้น
คดีนี้ศาลอาญาพิพากษาเมื่อวันที่ 7 ก.ย.2561 ให้จำคุก “นายอัครกิตติ์” จำเลยที่ 1 เป็นเวลา 8 ปี ฐานร่วมกันฟอกเงิน และให้ยกฟ้องข้อหาสนับสนุนหรือช่วยเหลือหรือสมคบกันค้ายาเสพติด ตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษฯ และ พ.ร.บ.มาตรการในการป้องกันและปรามยาเสพติดฯ
ส่วนจำเลยที่ 2-3 มีความผิดฐาน ฐานร่วมกันสนับสนุนหรือช่วยเหลือ หรือ สมคบค้ายาเสพติด และฐานร่วมกันฟอกเงิน ให้จำคุกคนละ 8 ปี, ซึ่งให้การรับสารภาพ ศาลลดโทษกึ่งหนึ่งคงจำคุกฐานฟอกเงินคนละ 4 ปี และฐานสมคบกันทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติดให้จำคุกอีกคนละ 20 ปี ปรับคนละ 400,000 บาท รวมจำคุกจำเลยที่ 2-3 คนละ 24 ปี ปรับคนละ 4 แสนบาท จำเลยยื่นอุทธรณ์
อย่างไรก็ตามศาลอุทธรณ์พิเคราะห์พยานหลักฐานแล้ว พิพากษาแก้ให้เพิ่มโทษ นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานสนับสนุนช่วยเหลือ หรือสมคบค้ายาเสพติด และฐานฟอกเงินจำคุกรวม 36 ปี 8 เดือน ปรับ3,333,333.33 บาท ส่วนจำเลยที่ 2-3 ปี เหลือจำคุก คนละ22 ปี 6 เดือนปรับคนละ 4 แสนบาท พวกจำเลยยื่นฎีกาเบิกตัวจำเลยจากเรือนจำมาฟังคำพิพากษาศาลฎีกา ซึ่งนายอัครกิตติ์ จำเลยที่1 ยื่นฎีกาเพียงคนเดียว
ศาลฎีกาตรวจสำนวนปรึกษาหารือแล้ว เห็นว่าแม้คดีนี้อัยการโจทก์จะมีรองผู้บัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพิดและเจ้าพนักงานตำรวจ เจ้าพนักงานปปง.เบิกความทำนองเดียวกันว่า นายอัครกิตติ์”จำเลยที่ 1 มีส่วนร่วมรู้เห็นและเป็นผู้สนับสนุนการค้ายาเสพติดของกลาง แต่อย่างไรก็ตามจำเลยคนอื่นในคดีนี้ไม่ได้เบิกความอ้างถึงว่านายอัครกิตติ์จำเลยที่ 1 ร่วมกระผิดตามที่อัยการโจทก์ฟ้องในความผิดฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดฯ พยานหลักฐานโจทก์ยังมีข้อสงสัยตามสมควร จึงยกประโยชน์แห่งความสงสัยให้นายอัครกิตติ์ จำเลยที่ 1 ที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษจำเลยที่1ฐานร่วมกันสนับสนุน หรือช่วยเหลือหรือสมคบกันตั้งแต่ 2 คนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ฯ นั้น ศาลฎีกาไมาเห็นพ้องด้วย ฎีกาจำเลยที่ 1 ฟังขึ้นพิพากษายกฟ้อง นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายอัครกิตติ์ มีความผิดเฉพาะข้อหาร่วมกันฟอกเงิน ซึ่งศาลอุทธรณ์จำคุก 3 ปี 4 เดือน โดยติดคุกมาแล้ว 4 ปีเศษ ดังนั้นจะได้รับการปล่อยตัวที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลางในช่วงเย็นวันนี้
ด้านมารดานายอัครกิตติ์กล่าวว่า รู้สึกดีใจมากจนพูดไม่ออก ที่ผ่านมาเสียใจที่ลูกชายมาติดคุก แต่ตอนนี้ลูกชายติดคุกครบแล้ว ดังนั้นตอนเย็นนี้ครอบครัวและเพื่อนก็เตรียมตัวจะไปรับลูกชายที่ทัณฑสถานบำบัดพิเศษกลาง
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี