อุทธรณ์ยกฟ้อง!
21แกนนำพธม.ปิดล้อมสภาปี’51
ชี้ชุมนุมสงบ-ป้องประโยชน์ชาติ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนยกฟ้อง21 อดีตแกนนำและแนวร่วม พธม.ชุมนุมปิดรัฐสภาปี’51 ศาลชี้ชุมนุมโดยสงบปราศจากอาวุธ มุ่งเปิดโปงทุจริต รักษาผลประโยชน์ชาติ ขัดขวางแถลงนโยบาย ออกกฎหมายช่วยทักษิณไม่ให้ถูกยึดทรัพย์-จำคุก ส่วนเหตุรุนแรงเกิดจากตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมก่อน จนมีคนตายบาดเจ็บจึงไม่พอใจตอบโต้เจ้าหน้าที่ แกนนำไม่ได้สั่งการ ด้าน“ประพันธ์ คูณมี”ส.ว.วอนอัยการอย่ายื่นฎีกา
เมื่อวันที่ 2 พฤศจิกายน ที่ห้องพิจารณา 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลอ่านคำพิพากษาคดีพันธมิตร ชุมนุม หมายเลขดำ อ.014924/2555 ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 เป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสนธิ ลิ้มทองกุล อายุ 70 ปี อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย(พธม.) กับพวกรวม 21 คน ซึ่งเป็นอดีตแกนนำและแนวร่วม พธม. เป็นจำเลยที่ 1-21 ความผิดฐานร่วมกันกระทำให้ปรากฏแก่ประชาชนด้วยวาจา หนังสือหรือวิธีการอื่นใดอันมิใช่การกระทำภายในความมุ่งหมายของรัฐธรรมนูญ หรือมิใช่เพื่อแสดงความคิดเห็นหรือติชมโดยสุจริต เพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในกฎหมายแผ่นดินหรือรัฐบาล โดยใช้กำลังข่มขืนใจหรือใช้กำลังประทุษร้ายเพื่อให้เกิดความปั่นป่วนหรือ กระด้างกระเดื่องในหมู่ประชาชนถึงขนาดที่จะก่อความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักร หรือเพื่อให้ประชาชนล่วงละเมิดกฎหมายแผ่นดิน
เป็นหัวหน้าหรือเป็นผู้มีหน้าที่สั่งการในการมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป ใช้กำลังประทุษร้ายขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายหรือกระทำการอย่างหนึ่งอย่างใด ทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง โดยผู้กระทำมีอาวุธ และเมื่อเจ้าพนักงานสั่งให้เลิกแล้วไม่เลิกมั่วสุม ข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด ไม่กระทำการใดหรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น หรือโดยใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ถูกข่มขืนใจต้องกระทำการนั้น ไม่กระทำการนั้น หรือจำยอมต่อสิ่งนั้น โดยมีอาวุธหรือโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ร่วมกันหน่วงเหนี่ยวหรือกักขังผู้อื่น หรือกระทำด้วยประการใดให้ผู้อื่นปราศจากเสรีภาพในร่างกาย อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 116, 215, 216, 309, 310
กรณีช่วงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 กลุ่ม พธม. เคลื่อนการชุมนุมจากทำเนียบรัฐบาล ไปปิดล้อมรอบอาคารรัฐภา ไม่ให้รัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ประชุมแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
อัยการโจทก์ยื่นฟ้องเมื่อเดือนธันวาคม 2555 ระบุความผิดสรุปว่า เมื่อวันที่ 5-7 ตุลาคม 2551 จำเลยและกลุ่ม พธม.จำนวนหลายพันคน ร่วมมั่วสุมในทำเนียบฯ ซึ่งตั้งเวทีปราศรัย และยุยงปลุกปั่นให้กลุ่ม พธม. ทั้งประเทศไปรวมตัวปิดล้อมรัฐสภาไม่ให้ ส.ส. ส.ว. และคณะรัฐมนตรี (ครม.) เข้าร่วมประชุมสภา โดยวันที่ 7 ตุลาคม 2551 จำเลยกับพวกใช้รถยนต์บรรทุก 6 ล้อติดเครื่องขยายเสียงเคลื่อนพร้อมนำลวดหนามชนิดหีบเพลง และแผงกั้นเหล็ก ยางรถยนต์ขวางบริเวณรอบรัฐสภา ปราศรัยปลุกระดมให้ล้อมรัฐสภา เป็นเหตุเหตุให้ ส.ส.และ ส.ว. บางส่วนเดินทางเข้าไปประชุมสภาไม่ได้ พร้อมประกาศขู่ว่าหากไม่ยุบสภาในเวลา 18.00 น.จะจับตัวประธานสภาและประธานวุฒิสภา รวมทั้งสมาชิกทั้งหมด จำเลยกับพวกยังได้ปราศรัย ยุยงให้กลุ่ม พธม. จำนวนหลายพันคน เคลื่อนไปหน้าอาคารรัฐสภาและปิดล้อมทางเข้าออก และขู่ว่าจะใช้กำลังประทุษร้ายส.ส.และ ส.ว. จำเลยทั้งหมดให้การปฏิเสธ คดีนี้ศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้อง อัยการโจทก์ยื่นอุทธรณ์ ขอให้ลงโทษพวกจำเลย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้นายสนธิและแกนนำทั้งหมดเดินทางมาฟังคำพิพากษา โดยมีผู้สนันสนุนมาร่วมให้กำลังใจ
ศาลอุทธรณ์ตรวจสำนวนปรึกษาหารือแล้ว มีข้อวินิจฉัยตามที่โจทก์อุทธรณ์ว่าการชุมนุมของกลุ่มพธม.เป็นไปโดยสงบและชอบธรรมหรือไม่ เห็นว่า การชุมนุมของกลุ่มฯเป็นการชุมนุมเพื่อต่อต้านรัฐบาลที่นำโดยนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ต่อต้านการทุจริตต่อจากยุคของนายทักษิณ ชินวัตร และประกาศว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 239 และ มาตรา 309 เพื่อช่วยให้นายทักษิณไม่ถูกยึดทรัพย์ 6.4 พันล้านบาท และไม่ต้องรับโทษจำคุก 2 ปี คดีทุจริตซื้อที่ดินรัชดาฯ และมีนโยบายแปรรูปรัฐวิสาหกิจ 42 แห่ง เป็นบริษัทมหาชน สร้างความเสียหายให้ประเทศ จะเห็นได้ว่ามีนโยบายหลายข้อที่ทำให้คนจากหลายภาคส่วนไม่พอใจ จึงออกมาโต้แย้งคัดค้าน โดยการชุมนุมเพื่อเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติ ตั้งแต่ เดือนพฤษภาคม 2551 จนถึงวันที่ถูกสลายการชุมนุมวันที่ 7 ตุลาคม 2551 โดยจำเลยที่ 1-2,4-21 ได้กล่าวเน้นย้ำให้ชุมนุมด้วยความสงบ ห้ามนำอาวุธเข้ามา และไม่มีการวางแผนทำผิดกฎหมาย เป็นการแสดงออกตามสิทธิเสรีภาพที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้
ต่อมาตำรวจเข้าสลายการชุมนุมช่วงเช้าวันที่ 7 ตุลาคม 2551 ลักษณะจู่โจมโดยที่ผู้ชุมนุมไม่ทันตั้งตัวจนเกิดความวุ่นวาย บางส่วนถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตา เป็นการปฏิบัติข้ามขั้นตอน เนื่องจากตำรวจอ้างว่าได้ประสานขอรถน้ำจาก กทม.แต่ไม่ได้รับการร่วมมือส่งรถน้ำมาให้ ตำรวจจึงยิงแก๊สน้ำตาใส่กลุ่มผู้ชุมนุมได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายราย บางรายถึงขั้นเสียชีวิต ทำให้ผู้ชุมนุมบางส่วนไม่พอใจ และหันมาตอบโต้ตำรวจโดยยิงหนังสติ๊ก ปลายธงแหลม กระบองและหนังสติ๊กใส่เจ้าหน้าที่ตำรวจ ซึ่งเป็นการกระทำของผู้ชุมนุมบางคน โดยไม่มีใครสั่งการ ถือเป็นการกระทำส่วนตัวมิอาจนำมาถือเป็นเจตนาของทุกคนในกลุ่มผู้ชุมนุมได้
ขณะที่ฝ่ายโจทก์ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความยืนยันว่า พวกจำเลยชุมนุมโดยไม่สงบ และไม่อาจชี้ได้ว่า จำเลยที่ 1-2,4-21 เป็นผู้สั่งการ แต่ความวุ่นวายเกิดมาจากการเริ่มยิงแก๊สน้ำตาของตำรวจ สอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)เห็นว่าเจ้าหน้าที่กระทำขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชน มีการยิ่งแก๊สน้ำตาจำนวนมาก เกินความจำเป็น อีกทั้ง ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำวินิจฉัยว่าการะทำของเจ้าหน้าที่เป็นการกระทำละเมิดต่อกลุ่มผู้ชุมนุมตามสิทธิมนุษยชน ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550
“การกระทำของ จำเลยทั้งหมด จึงไม่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 215,216 309, 310 ที่ศาลชั้นต้นพิพากยกฟ้องจำเลยมานั้น ศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วย อุทธรณ์โจทก์ฟังไม่ขึ้น พิพากษายืนยกฟ้อง”
หลังศาลมีคำพิพากษายกฟ้องแล้ว นายประพันธ์ คูณมี สมาชิกวุฒิสภา หนึ่งในจำเลยคดีนี้เผยว่า การชุมนุมของกลุ่ม พธม.วันที่ 7 ตุลาคม 2551 นั้น ศาลอุทธรณ์เห็นว่า เหตุวุ่นวาย ที่เกิดขึ้นมาจากตำรวจใช้กำลังและแก๊สน้ำตาสลายการชุมนุม โดยที่ผู้ชุมนุมไม่ทันตั้งตัวและไม่ได้เตรียมการมาเพื่อก่อเหตุความรุนแรง ซึ่งก่อนเกิดเหตุนั้นการชุมนุมก็เป็นไปด้วยความสงบไม่ได้เกิดความวุ่นวาย อีกทั้ง การสลายการชุมนุมไม่ได้เป็นไปตามขั้นตอนคือ ไม่ได้ประกาศเตือน เจรจา หรือใช้รถน้ำ ส่วนอัยการโจทก์จะยื่นฎีกาต่อหรือไม่นั้น ก็อยากขอความเป็นธรรมไปยังอัยการสูงสุด เพื่อขอให้พนักงานอัยการโจทก์ไม่ยื่นฎีกา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับจำเลยทั้งหมดประกอบด้วย 1.นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำ พธม. 2.นายพิภพ ธงไชย 3.นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ (เสียชีวิต) 4.นางมาลีรัตน์ แก้วก่า 5.นายประพันธ์ คูณมี 6.นายสมศักดิ์ โกศัยสุข 7.นายสุริยะใส กตะศิลา 8.นายอมร อมรรัตนานนท์ หรือนายรัชต์ยุตม์ ศิรโยธินภักดี 9.นายสำราญ รอดเพชร 10.นายศิริชัย ไม้งาม 11.นายสาวิทย์ แก้วหวาน 12.นายพิชิต ไชยมงคล 13.นายอำนาจ พละมี 14.นายกิตติชัย ใสสะอาด 15.นายประยุทธ วีระกิตติ 16.นายสุชาติ ศรีสังข์ 17.นายสมบูรณ์ ทองบุราณ อายุ 61 18.นายศุภผล เอี่ยมเมธาวี อดีตแนวร่วม พธม. 19.น.ส.อัญชะลี ไพรีรัก อดีตแนวร่วม พธม. 20.นายพิเชฐ พัฒนโชติ อดีตรองประธานวุฒิสภา 21. นายวีระ สมความคิด นักสิทธิมนุษยชน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี