'อนุทิน' เปิดงาน 'EDU SOFT POWER FESTIVAL 2024' ของศธ. จัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 - 27 ธ.ค.นี้ ย้ำต้องปลูกฝังเด็กให้มีความมุ่งมั่น ภาคภูมิใจความเป็นไทย เชื่อเด็กไทยไม่แพ้ชาติใด ขณะที่ 'ก.ศึกษาฯ' แถลงผลงานละเอียดยิบ 10 ข้อ
เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.2566 ที่กระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย (มท.) เป็นประธานพิธีเปิดงาน “EDU SOFT POWER FESTIVAL 2024” และแถลงผลงานตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 27 ธ.ค.นี้ ที่ ศธ. และพื้นที่บริเวณโดยรอบ โดยมี นายสิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำศธ. และโฆษกศธ.กล่าวรายงาน มีนายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดศธ. ผู้บริหารองกรหลักศธ. ครู นักเรียนจำนวนมากเข้าร่วมงาน
โดยนายอนุทิน กล่าวเปิดงานตอนหนึ่ง ว่า รู้สึกดีใจที่ได้เห็นความพร้อมเพรียงของชาวศธ. ซึ่งวันนี้ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการศธ. ติดโควิด ไม่สามารถมาร่วมงานได้ ดังนั้น ตนในฐานะรองนายกฯ จึงถือว่า เป็นรักษาการรัฐมนตรีว่าการศธ. ทั้งนี้ศธ.และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาประเทศ ที่ผ่านมาตนติดตามและเห็นข้อมูลมาตลอดว่า การศึกษาไทยรั้งท้าย ซึ่งก็ต้องถามกลับไปว่า เอาเกณฑ์อะไรมาวัด ตนเชื่อว่า ความสำเร็จทุกอย่างอยู่ที่ความมุ่งมั่น ยกตัวอย่างเช่น พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง เกิดที่จังหวัดสงขลา ได้เรียนหนังสือเช่นเดียวกันทุกคน แต่มีความมุ่งมั่น จนเป็นผู้บัญชาการทหารบก เป็นนายกฯ เป็นประธานองคมนตรี โดยหากย้อนกลับไปมอ ยังเห็นว่า ตัวเองโชคดีกว่า พลเอกเปรม เพราะเกิดในที่มีทุกอย่างค่อนข้างจะพร้อม เชื่อว่า ในที่นี้มีหลายคนเกิดต่างจังหวัด ได้เรียนหนังสือเหมือนนักเรียนทั่วไปแต่ก็พัฒนาได้ ทั้งหมดอยู่ที่ความมุ่งมั่น อย่าดูว่าเขาวัดอะไรอย่างเดียว แต่ต้องดูว่า เราปลูกฝังอะไรให้กับนักเรียน
“ผมเห็นนักเรียนที่มาแสดงเปิดงานในวันนี้ ผมรู้ได้ทันทีว่าทั้งหมดนี้ คือ ซอฟต์พาวเวอร์ เด็กได้เรียนรู้วัฒนธรรม มีการออกกำลังกาย มีการยืดตัว มีความพร้อมมีความมุ่งมั่น ตรงนี้แหละคือ ซอฟต์พาวเวอร์ เพราะมีทั้งความซอฟต์ และมีพาวเวอร์ คือมีพลัง ดังนั้น ขอให้พัฒนาต่อเนื่อง ทิ้งไม่ได้ ระบบการศึกษาก็เช่นกัน อยู่ที่ว่าเราปลูกฝังให้คนเป็นคนดีแค่ไหน ทุกวันนี้แด็กสามารถเรียนรู้ได้โดยง่าย ผ่านโซเชียลมิเดียต่าง ๆโลกมีความเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ครูต้องปรับตัวเอง จะให้เด็กกลัวครู เหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้ แต่ก็ต้องให้เด็กเกรงครู จะมาลบหลู่ดูหมิ่นครู อาจารย์ไม่ได้ ความกลัวครูตั้งแต่เด็กทำให้พวกเรามีวันนี้ได้ ทุกวันนี้ผมยังฝันว่า กลัวครูอยู่เลย เพราะความกลัว จะทำให้เกิดความพยายาม และทำทุกอย่างให้ดีขึ้น” นายอนุทิน กล่าว
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า ซอฟต์พาวเวอร์ศธ. มีดีอยู่แล้ว แต่การศึกษาอาจจะต้องเน้นการเข้าถึงให้มากขึ้น ซึ่งปัจจุบันเด็กสามารถเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น สามารถเรียนรู้ได้ผ่านทางออนไลน์ ผลงาน 3 เดือนของศธ.ที่ผ่านมา ก็มีให้เห็นชัดเจน อย่างเช่น ใครที่มีความรู้ความสามารถ มีทักษะความชำนาญ มีพรสวรรค์ แต่ไม่ชอบเรียน ขาดใบวุฒิบัตร ก็เปิดให้เทียบวุฒิการศึกษาได้ ซึ่งตนดูแลสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพ ดังนั้น ทุกอย่างเป็นองคาพยพเดียวกัน ที่ตนพูดแบบนี้ เพราะอยากปลุกระดม วันนี้การศึกษาทัวร์ลงทั้งระบบ การศึกษารั้งท้าย ผลประเมินตกต่ำ ก็ต้องปรับปรุงต้องทำให้คนใฝ่ดี ส่วนตัวเชื่อมั่นว่าไม่มีอะไรที่เด็กไทยทำไม่ได้ แข่งคณิตศาสตร์ วงโยธวาทิตก็คว้าแชมป์มาแล้ว ประกวดนางงามก็ติดอันดัน เด็กเหล่านี้ก็เรียนอยู่ที่ประเทศไทย ไม่ได้เรียนที่มหาวิทยาลัยออกซฟอร์ดมาตั้งแต่เด็ก
ดังนั้น อยากขอให้คนไทยช่วยกัน ต้องทำให้เด็กใฝ่ดี เด็กวัยนี้ใส่อะไรเข้าไปเขาก็ซึมซับ ดังนั้น ต้องใส่ความมุ่งมั่น เพื่อพัฒนาการศึกษาให้ดีขึ้น โดยพยายามทำให้ทุกอย่างอยู่ในกรอบ ไม่นอกกรอบเป็นซอฟต์พาวเวอร์ด้านการศึกษา โดยสิ่งที่ต้องเพิ่มเติมเข้าไปคือ ความภาคภูมิใจในความเป็นไทย ซึ่งเด็กของเรายังขาดเรื่องนี้ อาจเป็นเพราะเด็กรุ่นนี้ไม่ได้ดูโทรทัศน์ช่องไทย เหมือนสมัยก่อนจะมีพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 ให้ได้เห็นทุกวัน จึงปลูกฝังให้เราภาคภูมิใจในประเทศไทย ทำให้เรารักประเทศไทย และเห็นว่า กว่าจะมาถึงวันนี้ได้ บรรพบุรุษต้องทุ่มเทเสียสละขนาดไหน วันนี้เราสู้กันด้วยสงครามเศรษฐกิจ ไม่ได้เสียเลือดเสียเนื้อเหมือนในอดีต ดังนั้น ต้องหวงแหนประเทศไทย ทุกคนในศธ.เป็นนักการศึกษาโดยตรงต้องชี้แจงให้ประชาชนเข้าใจ มอบโอกาส แรงบันดาลใจ และส่งเสริมพวกเขาเหล่านั้นให้มากที่สุด
“ผมมาวันนี้มาให้กำลังใจ ขาดตรงไหนตามคำวิจารณ์ก็ต้องเติม แต่ไม่ใช่ว่า เราไม่มีอะไรเลย ผมไม่เชื่อว่าเราไม่มีพื้นฐาน ล้าหลังไม่มีทางพัฒนาการศึกษาไปได้ ผมขอให้กำลังใจอย่าได้ท้อถอย พัฒนาระบบการศึกษาของประเทศให้เจริญรุ่งเรืองในกรอบของประเทศไทย ทิ้งไม่ได้ ไม่ว่าจะเป็นความภาคภูมิใจในบ้านเมือง เมืองไทยเราสำคัญมาก เพราะทุกคนมีครู มีความยำเกรง มีวิชา สิ่งเหล่านี้ปลูกฝังในเด็ก เชื่อว่า เราไม่แพ้ใครในโลก ขอมอบเป็นนโยยบายให้ปฏิบัติ และพร้อมสนับสนุน100 เปอร์เซ็นต์“ นายอนุทิน กล่าว
ด้านนายสิริพงศ์ กล่าวรายงานการจัดงานดังกล่าว ว่า งานจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 25 – 27 ธันวาคมนี้ ที่ศธ. และพื้นที่บริเวณโดยรอบ สำหรับงานงาน “EDU SOFT POWER FESTIVAL 2024” จะนำเสนอให้เห็นภาพรวมและความก้าวหน้าการดำเนินงานและพลังของชาวศธ. ที่ได้ร่วมใจนำยุทธศาสตร์ซอฟต์เพาเวอร์แห่งชาติ ไปสู่การปฏิบัติในระดับกระทรวง เพราะศธ. ไม่ใช่แค่หน่วยงานพัฒนาการศึกษาของประเทศเท่านั้น แต่ยังเป็นอีกหนึ่งหน่วยงานที่สามารถสร้างซอฟต์เพาเวอร์ของประเทศไทยให้เป็นที่ยอมรับในระดับโลกได้ ศธ. มุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงซอฟต์เพาเวอร์ด้านการศึกษา เข้ากับวัฒนธรรม ด้วยการนำเสนอผลงานตามแนวคิดซอฟต์พาวเวอร์ 5f ด้านการศึกษาโดยตรง 5 สาขา คือ สาขานวัตกรรมการจัดการ สาขาศิลปวัฒนธรรม สาขาแฟชั่น สาขาอาหาร สาขาดิจิทัลและสื่อสร้างสรรค์ ด้วยกิจกรรมที่น่าสนใจ ทำให้เห็นความสามารถของเด็ก และครู บุคลากรทางการศึกษาที่มีความรู้วความสามารถในหลายมิติ คาดว่าจะมีผู้ร่วมงานทั้ง 3 วันมากกว่า 16,500 คน
นอกจากนี้ยังจัดให้มีการแถลงผลงานในรอบ 3 เดือน ภายใต้นโยบายเรียนดี มีความสุข ดังนี้
1. แก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้แต่งตั้งคณะกรรมการขับเคลื่อนนโยบายการแก้ไขปัญหาหนี้สินครูและบุคลากรทางการศึกษา ซึ่งมีรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ เป็นประธานมีหน่วยงานในสังกัดและในกำกับกระทรวงศึกษาธิการร่วมขับเคลื่อนดำเนินการ โดยให้สถานีแก้หนี้ระดับเขตพื้นที่การศึกษาสำรวจสภาพหนี้ครูและจัดกลุ่มครูตามภาระหนี้สิน จัดทำหลักสูตรเสริมสร้างวินัยทางการเงินในรูปแบบe-Learning และอนุมัติจัดสรรวงเงินให้กู้ยืมเงินทุนหมุนเวียนเพื่อแก้ไขปัญหาหนี้สินข้าราชการครู ประจำปีงบประมาณพ.ศ. 2567 จำนวน 200,000,000 บาท เพื่อช่วยบรรเทาภาวะหนี้สินของข้าราชการครู ให้สามารถนำไปชำระหนี้ซึ่งส่งผลต่อขวัญและกำลังใจในการปฏิบัติงาน อันจะทำให้คุณภาพการเรียนการสอนดีขึ้น ผู้เรียน เรียนดี มีความสุขตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ
2. เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา (Anywhere Anytime) เรียนฟรี มีงานทำ “ยึดผู้เรียน เป็นศูนย์กลาง” มีระบบหรือแพลตฟอร์มการเรียนรู้โดยผู้เรียนไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้สำรวจจำนวนสื่อเทคโนโลยีดิจิทัลเพื่อใช้ในการเรียนรู้ ซึ่งปัจจุบันมีสื่อ 117,852 สื่อ เพื่อเป็นแหล่งสืบค้นข้อมูลให้กับนักเรียน ครูและบุคลากรทางการศึกษา ดำเนินการจัดเสริมความรู้คู่บทเรียนด้วยวิทยากรออนไลน์ในการเตรียมนักเรียนให้พร้อมสำหรับการสอบ TGAT TPAT และ A-Level ตลอดเดือนธันวาคม 2566 - มีนาคม 2567 รวมทั้งในช่วงเดือนมกราคม 2567 ได้จัดสอบวัดระดับภาษาอังกฤษตามกรอบมาตรฐาน CEFR ให้แก่นักเรียนผ่านแพลตฟอร์มฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย และจัดทำหลักสูตรการเรียนรู้ภาษาอังกฤษตามกรอบมาตรฐานความสามารถทางภาษาอังกฤษ (CEFR)และหลักสูตรพัฒนาสมรรถนะดิจิทัล ในรูปแบบ e-Learning เพื่อให้ครู บุคลากรทางการศึกษาและบุคคลทั่วไปสามารถเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง
3. พัฒนาระบบการแนะแนวการเรียน (Coaching) และเป้าหมายชีวิต กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำกรอบหลักสูตรการพัฒนาครูแนะแนวแกนนำและการ Coaching ที่มีความสอดคล้องกับสถานการณ์และเป็นประโยชน์กับการแนะแนวนักเรียนในปัจจุบัน รวมทั้งจัดทำแนวปฏิบัติการจัดกิจกรรมแนะแนว กิจกรรมโฮมรูม และการดูแลสุขภาพจิตนักเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน เพื่อส่งเสริมและพัฒนานักเรียนอย่างรอบด้านให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ มีพัฒนาการที่ดี และมีสุขภาวะทางร่างกายและจิตใจที่ดีในทุกช่วงวัย
4. จัดทำระบบวัดผลรับรองมาตรฐานวิชาชีพ (Skill Certificate) ผู้เรียนสามารถเรียนเพิ่ม เพื่อรับประกาศนียบัตรวิชาชีพในการประกอบอาชีพ กระทรวงศึกษาธิการได้หารือร่วมกับสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเกี่ยวกับการดำเนินงานและทิศทางการขับเคลื่อนการทำงานร่วมกันเพื่อพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพ เพื่อเสริมสร้างโอกาสให้นักเรียนอาชีวศึกษาได้มีคุณวุฒิวิชาชีพ ขณะนี้อยู่ระหว่างพัฒนาหลักสูตรที่สอดคล้องกับมาตรฐานอาชีพที่เชื่อมโยง กับกรอบคุณวุฒิวิชาชีพ Up-skill Re-Skill 1 หลักสูตร : 1 Certificate และประกาศนียบัตรวิชาชีพเฉพาะ (ปวพ.)5 สาขาอาชีพ รวมทั้งการพัฒนาฐานข้อมูลหลักสูตรที่เชื่อมโยงกับกรอบคุณวุฒิแห่งชาติในรูปแบบดิจิทัลแพลตฟอร์ม
5. จัดทำระบบวัดผลเทียบระดับการศึกษาและประเมินผลการศึกษา เพื่อให้ผู้เรียนที่มีความสามารถเป็นเลิศไม่ต้องเสียเวลาเรียนในระบบ ประหยัดเวลา และประหยัดค่าใช้จ่าย กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทำแนวทางการสะสมหน่วยการเรียนรู้และการเทียบโอนผลการเรียนจากโรงเรียนนอกระบบสู่โรงเรียนในระบบ ดำเนินการยก (ร่าง) ประกาศคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เรื่อง แนวทางการดำเนินงานระบบคลังหน่วยกิตการอาชีวศึกษา พ.ศ. .... และจัดทำ(ร่าง) คู่ มือแนวทางการดำเนินงาน ทบทวนระเบียบ ประกาศ แนวปฏิบัติเกี่ยวกับการเทียบโอนผลการเรียนระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
6. 1 อำเภอ 1 โรงเรียนคุณภาพ กระทรวงศึกษาธิการได้กำหนดโรงเรียนกลุ่มเป้าหมายรวม 1,808 แห่ง เป็นโรงเรียนระดับประถมศึกษา 901 แห่ง และระดับมัธยมศึกษา 907 แห่ง โดยจะประกาศรายชื่อโรงเรียนคุณภาพพร้อมทั้งเปิดตัวโครงการ และจัดประชุมชี้แจงแนวทางการขับเคลื่อนโครงการแก่สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาและโรงเรียนที่ได้รับคัดเลือกเข้าร่วมโครงการร ภายในเดือนธันวาคม 2566
7. มีรายได้ระหว่างเรียน จบแล้วมีงานทำ (Learn to Earn) กระทรวงศึกษาธิการได้ประกาศนโยบายและแนวทางการขับเคลื่อนการจัดการอาชีวศึกษาระบบทวิภาคีเข้มข้น ในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 เน้นเพิ่มปริมาณผู้เรียนทวิภาคี ปวส. ร้อยละ 25 ปักหมุดจังหวัดทวิภาคีเข้มข้น 22 จังหวัดทั่วประเทศ ทำความร่วมมือกับศูนย์บ่มเพาะผู้ประกอบการอาชีวศึกษาเพื่อสร้างธุรกิจ สร้างรายได้เพิ่ม พัฒนาเป็นผู้ประกอบการ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินโครงการส่งเสริมการมีรายได้ระหว่างเรียน 6 โครงการ และฝึกอบรมหลักสูตรระยะสั้นให้กับประชาชนทั่วไปตามความต้องการของชุม รวมถึงจัดทำแผนโครงการส่งเสริมการมีรายได้ระหว่างเรียนในโรงเรียน พื้นที่ชายแดนภาคใต้จำนวน 5 แห่ง และแผนการพัฒนาอาชีพสำหรับผู้เรียนหลักสูตรระยะสั้น 6 หลักสูตร
8. ปรับวิธีการประเมินวิทยฐานะครูและบุคลากรทางการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้สื่อสารสร้างความรู้ความเข้าใจในประเด็นการประเมินวิทยฐานะผ่านระบบ DPA (Digital.Performance.Appraisal) ให้แก่ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาผ่านช่องทางต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษายื่นคำขอประเมินวิทยฐานะผ่านระบบ DPA รวมทั้งสิ้น 67,007 ราย โดยประเมินแล้วเสร็จ 63,429 ราย และอยู่ระหว่างดำเนินการประเมิน 3,578 ราย รวมถึงกำหนดแนวทางการปรับปรุงระบบการประเมินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ที่เน้นตามสภาพจริง.ลดการทำเอกสาร.ขั้นตอนการประเมินไม่ซับซ้อนและเป็นธรรม โดยเน้นผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน คำนึงถึงสภาพบริบทของสถานศึกษา และสอดคล้องกับการเรียนรู้ที่หลากหลายซึ่งจะเริ่มดำเนินการในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567
9. ครูและบุคลากรทางการศึกษาคืนถิ่น ลดขั้นตอน ลดเอกสาร
และ 10. จัดหาอุปกรณ์การสอน และสวัสดิการให้เพียงพอเหมาะสม
จากนั้น นายอนุทิน ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมา ศธ.ได้มีการพัฒนาหลักสูตรอยู่ตลอดเวลา ไม่เคยมีการหยุดนิ่ง และพยายามหมุนไปตามความเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีของโลก การจัดงานวันนี้ เพื่อให้กำลังใจและทำให้เด็กทราบว่า เขามีทางเลือกในอนาคตอย่างไร การศึกษาไม่จำเป็นต้องเรียนในห้องเรียนอย่างเดียว มีวิธีการแสวงหาความรู้ในหลายช่องทาง ขณะเดียวกันยังพยายามให้เด็กๆ ได้เห็นว่า ถ้ามีความสามารถพิเศษ แต่อาจไม่ชอบเรียนวิชาการ ก็ยังมีสถาบันคุณวุฒิวิชาชีพเทียบวุฒิรับรองความสามารถนำไปใช้ในการประกอบอาชีพได้ ทั้งนี้ยืนยันว่า การศึกษาของไทยไม่ได้ด้อยกว่าใคร โดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐบาล ทราบอยู่แล้วว่าภารกิจงาน ของศธ. เป็นพื้นฐานหลักที่สำคัญมากในการพัฒนาประเทศ ดังนั้น จะต้องทำงานให้หนักมากขึ้น ซึ่งตนได้แจ้งให้ผู้บริหารศธ. พยายามออกมาประชาสัมพันธ์งานให้ประชาชนได้รับทราบ รวมถึงรับฟังข้อวิพากษ์วิจารณ์ต่าง ๆ เพื่อนำมาปรับปรับ ส่วนเรื่องหนี้สินครู ก็ถือเป็นโจทย์ใหญ่ รัฐบาลกำลังจะมีวิธีการแก้ไข ซึ่งครูก็มีหนี้นอกระบบจำนวนมาก ถ้าสามารถแก้ไขปัญหาได้ จะเป็นเรื่องดี อย่างพวกส่งดอกทบต้น เสียดอกร้อยละ20 ซึ่งครูถือเป็นอาชีพที่มีรายได้ประจำก็ต้องดูว่า เขามีความสามารถในการชำระหนี้มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าอยู่ในเรื่องที่รัฐบาลพยายามเร่งจะแก้ไข
“ขอย้ำว่า ศธ.จะต้องเร่งให้ความรู้กับนักเรียน ปลูกฝังให้รักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน เพื่อเตือนตัวเองว่า ประเทศมีความมั่นคงมาจนถึงทุกวันนี้ได้เพราะมี 4 สถาบันหลักค้ำจุน รวมถึงจะต้องปลูกฝังขนบธรรมเนียมให้เด็กไทย ส่วนที่จะมีการปรับปรุงเครื่องแบบลูกเสือนั้น ส่วนตัวคิดว่า เครื่องแบบก็มีความสวยงามดีอยู่แล้ว การสวมเครื่องแบบทำให้เกิดความเท่าเทียม และมีความสวยงาม ทำให้เกิดความเชื่อมั่นว่ามีสถาบันมีต้นสังกัด” นายอนุทิน กล่าว
---017
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี