ปิดฉาก 7 วันอันตรายรับปีใหม่ 2567!ดับสังเวย บนท้องถนน 284 ศพอุบัติเหตุ 2,288 ครั้ง บาดเจ็บรวม2,307 คน “เมืองกาญจน์-กทม.” ครองแชมป์สูญเสียสะสม ขณะที่11 จว. ถนนใสไร้ตาย “ศปถ.” เผยสถิติลดลงกว่าปีที่ผ่านมา เร่งบูรณาการทุกภาคส่วนถอดบทเรียนทุกมิติ กรมคุมประพฤติ สรุปยอด 7 วันปีใหม่สถิติคดีพุ่ง 7,864 คดี กทม.ครองแชมป์ 469 คดี
เมื่อวันที่ 5 มกราคม 2567 ที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)นายโชตินรินทร์ เกิดสม รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หัวหน้ากลุ่มภารกิจด้านสาธารณภัยและพัฒนาเมือง ในฐานะประธาน แถลงสรุปผลการดำเนินงานของศูนย์อำนวยการป้องกันและลดอุบัติเหตุทางถนน(ศปถ.)ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567ว่า ศปถ.ช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ. 2567ได้รวบรวมสถิติอุบัติเหตุทางถนนประจำวันที่ 4 ม.ค.67 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการรณรงค์ช่วงเทศกาลปีใหม่2567“ขับขี่ปลอดภัย เมืองไทยไร้อุบัติเหตุ” เกิดอุบัติเหตุ 200 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ 205 คน ผู้เสียชีวิต 17 ราย สาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ขับรถเร็ว ร้อยละ 48.5 ตัดหน้ากระชั้นชิด ร้อยละ 22 และทัศนวิสัยไม่ดี ร้อยละ14 ยานพาหนะที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ รถจักรยานยนต์ ร้อยละ 88.72 ส่วนใหญ่เกิดบนเส้นทางตรง ร้อยละ 85 ถนนกรมทางหลวง ร้อยละ 42.5 ถนนใน อบต./หมู่บ้านร้อยละ 30.5
ช่วงเวลาที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุด ได้แก่ ช่วงเวลา 07.01-08.00 น. ร้อยละ 8 ผู้บาดเจ็บ และเสียชีวิตสูงสุด อยู่ในช่วงอายุ 40-49 ปี ร้อยละ 15.77 จัดตั้งจุดตรวจหลัก 1,785 จุด เจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน 51,433 คน โดยจังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสูงสุดได้แก่ ตาก (12 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสูงสุด ได้แก่ ตาก (15 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสูงสุด ได้แก่ ร้อยเอ็ด และสุพรรณบุรี (จังหวัดละ 3 ราย)
ปิดฉาก7วันดับ284ศพเจ็บ2,307
“สรุปอุบัติเหตุทางถนนสะสมในช่วง 7 วันของการรณรงค์ (29 ธ.ค.66–4มกราคม 67)เกิดอุบัติเหตุรวม 2,288 ครั้ง ผู้บาดเจ็บ รวม 2,307 คน ผู้เสียชีวิต รวม 284 ราย จังหวัดที่เกิดอุบัติเหตุสะสมสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี (82 ครั้ง) จังหวัดที่มีผู้บาดเจ็บสะสมสูงสุด ได้แก่ กาญจนบุรี (89 คน) จังหวัดที่มีผู้เสียชีวิตสะสมสูงสุด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร (19 ราย) จังหวัดที่ไม่มีผู้เสียชีวิต (ตายเป็นศูนย์) มี 11 จังหวัด ได้แก่ กระบี่ กาฬสินธุ์ ชัยนาท ตาก นครนายก ปัตตานี พิจิตร แม่ฮ่องสอน สตูล สมุทรสงคราม อำนาจเจริญ”รองปลัดกระทรวงมหาดไทย ย้ำ
ศปถ.เผยสถิติลดลงกว่าปีที่66
นายโชตินรินทร์ กล่าวว่า จากสถิติการเกิดอุบัติเหตุทางถนนที่มีจำนวนครั้งการเกิดผู้บาดเจ็บและผู้เสียชีวิตลดลงจากปีที่ผ่านมา เป็นผลมาจากการทำงานในระดับพื้นที่ที่มีความเข้มแข็งในการช่วยป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน รวมถึงความร่วมมือของประชาชนในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย แม้จะสิ้นสุดการดำเนินงานลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567แล้ว ศปถ.จะได้ประสานจังหวัด ศูนย์ปฏิบัติการความปลอดภัยทางถนน อำเภอเขต(กทม.)และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ร่วมกับภาคประชาชน จิตอาสา และอาสาสมัครในพื้นที่ ขับเคลื่อนการดำเนินงานเชิงรุกอย่างต่อเนื่อง เพื่อลดปัจจัยเสี่ยงทั้งด้านคน ยานพาหนะ ถนนและสภาพแวดล้อม ไม่ว่าจะเป็นการแนะนำ ตักเตือน ป้องปรามพฤติกรรมเสี่ยงหลัก อาทิ ดื่มแล้วขับ ขับรถเร็ว ขับรถย้อนศรและการไม่สวมหมวกนิรภัย การบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มข้นและต่อเนื่องตลอดทั้งปี
โดยให้ความสำคัญกับกลุ่มเด็กและเยาวชนในประเด็นการลดปัจจัยเสี่ยงด้านพฤติกรรมของผู้ขับขี่ ควบคู่ไปกับการรณรงค์ประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ ความเข้าใจ และความตระหนักในการใช้รถใช้ถนนอย่างปลอดภัย เพื่อสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยทางถนนในสังคมไทย
พร้อมเร่งถอดบทเรียนทุกมิติ
ด้าน นายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย(ปภ.)ในฐานะเลขานุการศูนย์อำนวยการความปลอดภัยทางถนน เปิดเผยว่าศปถ.ได้ประสานจังหวัดตรวจสอบและวิเคราะห์ข้อมูลสถิติอุบัติเหตุทางถนนเพื่อให้ทราบถึงสาเหตุและปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุทางถนนในเชิงลึก พร้อมถอดบทเรียนการทำงานของทุกภาคส่วนซึ่งจะได้นำปัจจัยแห่งความสำเร็จมาเป็นต้นแบบให้แต่ละพื้นที่นำไปปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาและบริบททางสังคม เพื่อเสริมสร้างกลไกการลดอุบัติเหตุทางถนนในพื้นที่ให้เป็นระบบและเข้มแข็ง รวมถึงนำปัญหาอุปสรรคที่เป็นจุดอ่อนในการทำงานมาปรับปรุงและพัฒนาแนวทางการแก้ไขปัญหาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อนำไปสู่เป้าหมายภาพรวมของประเทศในการลดอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติทางถนนของประเทศให้เหลือ 12 คนต่อประชากรหนึ่งแสนภายในปี พ.ศ.2570
ทั้งนี้ ศปถ.ขอขอบคุณหน่วยงานทุกภาคส่วน เครือข่ายอาสาสมัคร และเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานที่ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอำนวยความสะดวกและสร้างความปลอดภัยแก่ประชาชนในการเดินทางช่วงเทศกาลปีใหม่ พ.ศ.2567 ด้วยความทุ่มเท เสียสละ อดทน และเข้มแข็ง
ยอด7วันปีใหม่สถิติคดี 7,864 คดี
ด้าน นายเรืองศักดิ์ สุวารี อธิบดีกรมคุมประพฤติ มอบหมายให้ นางธารินี แสงสว่าง รองอธิบดีกรมคุมประพฤติ ในฐานะโฆษกกรมคุมประพฤติ แถลงสรุปปิดยอดสถิติคดีที่เข้าสู่กระบวนการคุมความประพฤติในวันสุดท้ายของ 7 วัน ควบคุมเข้มข้นปีใหม่ 2567(4 ม.ค.67) สถิติคดีที่ศาลสั่งคุมความประพฤติมีจำนวนทั้งสิ้น 1,150 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา 1,100 คดี คิดเป็นร้อยละ 95.65 คดีขับรถประมาท 1 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.09 และคดีขับเสพ 49 คดี คิดเป็นร้อยละ 4.26 ยอดสะสม 7 วัน (29 ธ.ค.66-4 ม.ค.67) มีจำนวนทั้งสิ้น 8,102 คดี จำแนกเป็น คดีขับรถขณะเมาสุรา 7,864 คดี คิดเป็นร้อยละ 97.06 , คดีขับรถประมาท 5 คดี คิดเป็นร้อยละ 0.06 และคดีขับเสพ 233 คดี คิดเป็นร้อยละ 2.88
รองอธิบดีกรมคุมประพฤติกล่าวว่าเมื่อเปรียบเทียบสถิติคดีขับรถขณะเมาสุราสะสมทั้ง 7 วันที่เข้าสู่ระบบงานคุมประพฤติในช่วงเทศกาลปีใหม่ ปี พ.ศ.2566 มีจำนวน 8,567 คดี กับปี พ.ศ. 2567 จำนวน 7,864 คดี พบว่าคดีขับรถขณะเมาสุรา มีจำนวนลดลง 703 คดี คิดเป็นร้อยละ 8.2
กทม.แชมป์‘คดีเมาแล้วขับ’469คดี
จังหวัดที่มี คดีขับรถขณะเมาสุรา สูงสุด 3 อันดับ ได้แก่ กรุงเทพมหานคร 469 คดี นครพนม 351 คดี และหนองคาย 328 คดี
สำหรับในช่วง 7 วันที่มีการควบคุมเข้มงวด สำนักงานคุมประพฤติทั่วประเทศ ได้ร่วมสนับสนุนการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ในการให้บริการประชาชนตามสถานที่ต่าง ๆ โดยให้บริการประชาชนแจกน้ำดื่ม ผ้าเย็น เครื่องดื่ม อำนวยความสะดวกจราจร ที่จุดบริการประชาชน ด่านชุมชน และด่านตรวจค้น รวมทั้งสิ้นจำนวน 765 จุด ผู้เข้าร่วมกิจกรรมประกอบด้วย อาสาสมัครคุมประพฤติ เครือข่ายยุติธรรมชุมชน ผู้ถูกคุมความประพฤติและประชาชน จำนวนทั้งสิ้น 28,857 คน
ส่วนมาตรการคุมประพฤติที่มีต่อผู้กระทำผิดที่เข้าสู่กระบวนการคุมความประพฤติในฐานความผิดขับรถขณะเมาสุราทุกรายจะต้องผ่านการคัดกรองแบบประเมินการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หากพบว่ามีความเสี่ยงสูงในการติดสุรา จะส่งเข้ารับการบำบัดรักษา ณ สถานพยาบาลสังกัดกระทรวงสาธารณสุข
สำหรับผู้กระทำผิดที่มีความเสี่ยงต่อการกระทำผิดซ้ำหรือมีประวัติการกระทำผิดซ้ำ ต้องเข้ารับการแก้ไขฟื้นฟูแบบเข้มข้นและต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการคุมความประพฤติ อาทิรายงานตัวต่อพนักงานคุมประพฤติ และทำงานบริการสังคมที่ให้ตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดจากการเมาแล้วขับ เช่น การดูแลเหยื่ออุบัติเหตุในโรงพยาบาล และเป็นการป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุทางถนน ซึ่งทำให้เกิดความสูญเสียต่อตนเองและครอบครัว รวมถึงสร้างความปลอดภัยให้กับสังคมต่อไป
ปีนี้อุบัติเหตุหยุดยาวตายลด10.41%
ขณะที่ นายนิกร จำนง ประธานมูลนิธิประชาปลอดภัยกล่าวว่าปีนี้เป็นปีที่อุบัติเหตุทางถนนในช่วงปีใหม่ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญเพราะมีการเสียชีวิต ณ จุดเกิดเหตุรวม 284 ราย ซึ่งลดลงจากปีที่แล้วในช่วง 7 วันอันตรายปีที่แล้ว ที่มีผู้เสียชีวิต 317 ราย ลดลงทั้งหมด 33 ราย หรือ 10.41% ถือว่าลดลงมากในสถานการณ์ที่มีคนเดินทางมากขนาดนี้ จากการติดตามสถานการณ์การดำเนินงานของ ศปถ.ช่วงเทศกาลปีใหม่2567 พบว่ามีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากพบว่าการบังคับใช้กฎหมาย เข้มข้นอย่างมากในปีนี้เพราะมี พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รองผบ.ตร.ซึ่งรับผิดชอบทางด้านนี้เฝ้าติดตามสถานการณ์ที่ศูนย์ฯทุกวัน ไม่ว่าที่ไหนเกิดเหตุรุนแรงได้สั่งการและเรียกรายงานตัวเจ้าหน้าที่ตำรวจในทันทีเพราะถือเป็นภารกิจพิเศษในแต่ละพื้นที่จังหวัด
ชี้ในรอบ10ปี-ผลบังคับใช้กม.เข้มข้น
“ผมเดินทางไปต่างจังหวัด พบมีการตั้งด่านตำรวจที่ทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่นๆทุกหน่วย ก็มีความเคร่งครัด รัดกุม กันอย่างมาก เมื่อมีเหตุการณ์ใดเกิดขึ้น ก็มีการสั่งการดำเนินการกำชับในทันทีในห้วงเวลาที่เกิดเหตุนั้นๆ ในปีนี้คิดว่าต้องยกประโยชน์ให้กับการบังคับใช้กฎหมาย มีเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงานเกือบ50,000รายทั่วประเทศ จุดตรวจหลัก เกือบ 2,000 จุดทั่วประเทศ ถือว่ามีเจ้าหน้าที่ดูแลมากทีเดียวในปีนี้ซึ่งเป็นเหตุที่ทำให้สถิติลดลง ที่น่าดีใจในองค์รวม คือ หากดูสถิติย้อนหลังไป 10 ปี ที่มีการเสียชีวิตสูงสุดคือ 478 ราย ปีนี้เป็นปีแรกที่ต่ำกว่า 300 ราย ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดี ดังนั้นในการดำเนินงานครั้งต่อไปต้องมีการเพ่งเล็ง เรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ตนเชื่อว่าการบังคับใช้กฎหมายน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด” นายนิกร กล่าวย้ำ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี