ปัดเกี่ยวข้องรีดหัวคิวแรงงาน

‘เสี่ยเฮ้ง’โต้แหลก

ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ

ซัดDSIไม่ตรวจให้ชัด

ตั้งทีมก.ม.จ่อฟ้องกลับ

โฆษกดีเอสไอ เผยที่ประชุมมีมติกล่าวหา “4 บิ๊กกระทรวงแรงงาน” ตามความผิด ม.149-ม.157 จากเรื่องหักหัวคิวแรงงานไทยที่ไปทำงานในสาธารณรัฐฟินแลนด์คนละ3 พันบาท เพราะมีพยานหลักฐาน ด้าน รมว.ยุติธรรม ชี้พบหลักฐานเส้นทางเงิน ขณะที่ “เสี่ยเฮ้ง” ตั้งทีมกฎหมายสู้หลังถูกโยง ยืนยันความบริสุทธิ์ ซัดดีเอสไอรับข้อมูลแต่ไม่ตรวจสอบข้อกฎหมาย ชี้ค้ามนุษย์ 2 ประเทศแตกต่างกัน ถามกลับออกข่าวหวังกลบกระแสอะไรหรือไม่ แจงยิบ ขั้นตอนส่งแรงงาน ‘ปลัดแรงงาน’ พร้อมให้ข้อมูลดีเอสไอ-ป.ป.ช.

จากกรณีกองคดีการค้ามนุษย์ กรมสอบสวนคดีพิเศษ(ดีเอสไอ) ร่วมกับพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด มีมติให้กล่าวหากับอดีตข้าราชการฝ่ายการเมืองระดับรัฐมนตรี 2 คน และผู้บริหารระดับสูง กระทรวงแรงงาน อีก 2 คน รวมทั้งหมด 4 คน ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 149 และมาตรา 157 ประกอบมาตรา 83 และมาตรา 86 เรื่องแรงงานไทยเป็นเหยื่อค้ามนุษย์ในสาธารณรัฐฟินแลนด์ที่เดินทางไปทำงานเก็บผลไม้ป่าอย่างถูกต้องตามกฎหมาย แต่มีขบวนการหักค่า หัวคิว เฉลี่ยรายละ 3,000 บาท โดยในปี พ.ศ. 2563 - พ.ศ. 2566 มีผู้อยู่ในข่ายต้องเสียค่าใช้จ่ายดังกล่าว รวมประมาณ 12,000 คน คิดเป็นเงินรวมประมาณ 36 ล้านบาท โดยจะเร่งสรุปส่งสำนวนคดีพิเศษดังกล่าว ต่อคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อดำเนินการต่อไป

เมื่อวันที่ 12 มกราคม พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ และในฐานะโฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ เปิดเผยว่า เรื่องนี้อาจมีการตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริง หากพบว่าเป็นเรื่องร้ายแรงหรือพบความผิดอื่น เช่น คดีค้ามนุษย์ หรืออาจส่งสำนวนกลับมาให้ ดีเอสไอ ดำเนินการตรวจสอบเอง ทั้งนี้ ถ้าเข้าข่ายคดีค้ามนุษย์ ต้องตรวจสอบว่ามีพยานหลักฐานถึงบุคคลใด แต่เบื้องต้นเป็นการเอาผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการก่อน ส่วนจะมีการแอบอ้างหน่วยงานหรือไม่นั้น ทางคณะพนักงานสอบสวนคดีพิเศษประชุมร่วมกับอัยการสูงสุด มีมติให้กล่าวหาก็ต้องมีพยานหลักฐานข้อเท็จจริงในสำนวนส่วนหนึ่งพอสมควรที่จะกล่าวหาบุคคลทั้ง 4 รายได้

ยืนยันดีเอสไอทำตามหน้าที่

ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้บริหารระดับสูงกระทรวงแรงงาน เตรียมฟ้องกลับหากไม่ใช่เรื่องจริง พ.ต.ต.วรณัน กล่าวว่า เป็นเรื่องใช้สิทธิ์ตามขั้นตอนกฎหมาย ซึ่งในการปฏิบัติงานของดีเอสไอมีหน้าที่ถ่ายทอดข้อเท็จจริงให้สังคมได้รับทราบว่าเป็นประเด็นสำคัญ เพียงแต่ว่ากระบวนการทำงานมี 2 ส่วน 1.ส่วนคดีก็ส่งไปตามอำนาจหน้าที่ และ 2.ส่วนการให้ข้อเท็จจริงกับสังคมก็ต้องให้เกียรติไม่เปิดเผยข้อมูลบุคคลที่ถูกกล่าวหา ไม่ระบุชื่อตัวบุคคล เพียงกล่าวแค่ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องกว้างๆ

“ยืนยันว่าดีเอสไอเผยแพร่ในประเด็นสังคมที่ควรได้รับรู้ตามข้อเท็จจริง หรือแผนประทุษกรรมเพื่อให้ประชาชนรู้ว่ามีเหตุลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นจริง หากต่อไปเจอเหตุเช่นนี้กับตัวเองก็ให้ระมัดระวังเพราะอาจตกเป็นเหยื่อ เช่น การทำงานในต่างประเทศ ต้องศึกษาให้รอบคอบ” โฆษกกรมสอบสวนคดีพิเศษ กล่าว

ด้าน พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม เปิดเผยสั้นๆ ว่าคดีนี้เป็นการทำงานร่วมกัน ทั้งดีเอสไอ , อัยการสูงสุด และทางการฟินแลนด์ เพราะคดีค้ามนุษย์ถือเป็นเรื่องใหญ่ในต่างประเทศเกี่ยวกับการค้าแรงงาน ซึ่งทางตำรวจฟินแลนด์ได้รวบรวมพยานหลักฐานต่างๆ รวมทั้งพบเส้นทางการเงิน และมองว่าเป็นการค้ามนุษย์ แต่บุคคลที่ถูกกล่าวหาจะหมายถึงใครบ้างนั้นคงต้องให้สอบถามกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ

‘สุชาติ’แจงยิบ ขั้นตอนส่งแรงงาน

นายสุชาติ ชมกลิ่น อดีต รมว.แรงงาน กล่าวว่า ตามที่ดีเอสไอได้ออกเอกสารว่าเป็นเรื่องเมื่อปี 2563 ส่วนตนเข้ารับตำแหน่งเมื่อเดือนส.ค.2563 ขณะที่การส่งแรงงานไทยไปทำงานที่ฟินแลนด์จะส่งทุกๆ เดือนมิ.ย.- ก.ค.และส่งมานานกว่า 10 ปี ดังนั้น แปลว่าปี 2563 นั้นมีการส่งแรงงานไปฟินแลนด์ก่อนที่ตนจะเข้ารับตำแหน่ง ส่วนปี 2564-2565 ก็มีการส่งแรงงานไปทำงานต่อเนื่อง ซึ่งก็ได้ดำเนินการไปตามกฎหมาย โดยกระบวนการคือ ในแต่ละปีสถานทูตฟินแลนด์จะกำหนดโควตาว่าต้องการแรงงานจำนวนเท่าไหร่ แล้วประสานมายังกระทรวงแรงงาน จากนั้นกระทรวงแรงงานก็จะแจ้งไปยังนายจ้างที่มีการประสานกับทางเอกชนของฟินแลนด์อยู่แล้ว เพื่อจัดส่งกันเอง ซึ่งในส่วนของการคัดคนงาน การจัดส่งต่างๆ กระทรวงแรงงานไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง หรือเข้าไปควบคุมตรงนั้นได้ กระทรวงแรงงานเพียงแค่ออกกฎระเบียบว่าให้นายจ้างกับลูกจ้างมีการทำสัญญา มีแบงก์การันตีว่าจะได้รับค่าตอบแทนจำนวนเท่าไหร่ ซึ่งเราก็ทำเช่นนี้ทุกครั้งในการจัดส่งแรงงานไปทำงานต่างประเทศ

ย้อนกลับมาที่มีแรงงานถูกส่งกลับประมาณ 10-20 คน และร้องเรียนไปยังสถานทูต ต่อมาก็มีประเด็นข้อหาค้ามนุษย์ ก็ต้องถามกลับว่า แล้วคน 3,000- 4,000 คน ที่เดินทางไปนั้น ทำไมถึงไม่ได้มีการร้องเรียน อย่างไรก็ตาม เมื่อเดินทางกลับมาถึงกระทรวงแรงงานก็จะเรียกลูกจ้างและนายจ้างมานั่งโต๊ะเจรจา และมีแบงก์การันตีและแบบนี้จะมาบอกว่า เป็นการค้ามนุษย์ได้อย่างไร

ยืนยันความบริสุทธิ์ใจ

นายสุชาติ กล่าวว่า ทั้งนี้องค์ประกอบเรื่องของการค้ามนุษย์ของประเทศฟินแลนด์กับของประเทศไทยมีความแตกต่างกัน แล้วคนๆ หนึ่งซึ่งเป็นโบรกเกอร์ของไทยถูกจับข้อหาค้ามนุษย์ มีการให้การซัดทอดข้าราชการหรือใครก็แล้วแต่ ซึ่งตนไม่รู้จักและไม่เคยไปยุ่งกับเขา ถามว่าคำให้การของผู้ต้องหาซึ่งให้การแล้วได้รับการลดโทษสามารถกลับบ้านได้ เขาให้การอะไรมา DSI ฟังทั้งหมดเลยโดยไม่มีการสอบ และประเด็นคือเรื่องนี้ แบ่งออกเป็น 2 เรื่อง เรื่องแรก เป็นเรื่องนอกราชอาณาจักรคือการค้ามนุษย์ โดยอัยการสูงสุดส่งเจ้าหน้าที่มาตรวจสอบ ตามมาตรา 20 แต่กรณีที่ระบุว่ามีการเรียกรับสินบน และมีการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 เรื่องนี้เป็นเรื่องภายในประเทศ ตามขั้นตอนต้องส่งไปยัง ป.ป.ช. แล้วป.ป.ช.ก็ตั้งอนุกรรมการไต่สวนว่า มีมูลหรือไม่มีมูล จะยกหรือจะรับไม่รับอย่างไร

“ผมยืนยันในความบริสุทธิ์ใจของตัวเอง แล้วถ้า ป.ป.ช.ตรวจสอบแล้วว่าตนไม่ได้มีความผิดตามที่ถูกกล่าวหา DSI จะมีการชดเชยอย่างไรกรณีที่ทำให้ตนเสียหาย การที่ DSI ออกข่าวนี้มาเพราะต้องการกลบกระแสข่าวอะไรหรือไม่” นายสุชาติ กล่าว

ไล่เช็คข้อมูลย้อนหลัง

ถามว่าได้มีการพูดคุยกับผู้ที่ถูกกล่าวหาหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ตนยังไม่ได้คุยกับใครเพราะถ้าไปคุยก็เท่ากับว่าตนเป็นคนผิด แต่เรื่องนี้ใครให้การอะไรไว้ หรือกล่าวหาอะไรไว้ตนจะดำเนินการฟ้องร้อง เพื่อเป็นการปกป้องศักดิ์ศรีของตัวเอง เพราะเรื่องนี้สามารถตรวจสอบได้ หากบอกว่ามีเส้นทางการเงิน ก็สามารถเปิดเผยออกมาได้ หากมีการกล่าวอ้างถึงรัฐมนตรี หรือมีเส้นทางการเงินของใคร แต่ยืนยันว่าตนไม่เกี่ยวข้อง เพราะฉะนั้นคุณก็ต้องยืนยันมาว่ามีเส้นทางการเงินของใครและแจ้งคนนั้น ไม่ใช่ออกมาพูดกำกวมเช่นนี้ทำให้คนมองว่าเป็นตนเอง

ถามว่าได้สอบถามกลับไปที่กระทรวงแรงงานหรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า เบื้องต้นตนก็ไล่เช็กว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง โดยกระทรวงแรงงานในสมัยที่ตนเป็นรัฐมนตรี ได้มีการหารือร่วมกับรัฐมนตรีแรงงานของฟินแลนด์ ซึ่งไปพร้อมเอกอัครราชทูตไทยประจำฟินแลนด์ มีการนั่งคุยกันว่าให้ประเทศฟินแลนด์ออกเป็นวีซ่าการทำงานได้หรือไม่เพื่อจะได้เข้าสู่กฎหมายกระทรวงแรงงานของฟินแลนด์ได้ ซึ่งเขาบอกว่ากฎหมายประเทศฟินแลนด์ ใครก็สามารถมาได้เพื่อทำงานเก็บผลไม้ป่า เขาไม่ได้เอาตามเรา กฎหมายของเขาก็คือของเขา ดังนั้นมันก็ตอบไม่ได้ และอีกอย่างก็เป็นเรื่องของเอกชนจัดส่ง ที่กล่าวอ้างว่ามีค่าดำเนินการเก็บค่าหัวคิวรายละ 3,000 บาท ก็ต้องถามกลับว่าหากมีการเก็บจริงนายจ้างจะบอกหรือไม่ว่าเก็บไปให้ใคร คนไหนได้หรือไม่ ไม่ใช่ว่าตนเป็นคนไปคุยเอง แต่ประเด็นสำคัญก็คือการไปทำงานแบบถูกกฎหมายจะต้องมาจ่ายอะไรพวกนี้ด้วยหรือ

ชี้ต้องเทียบ ก.ม.ฟินแลนด์-ไทย

“ถ้าองค์ประกอบของกฎหมายฟินแลนด์บอกว่าเป็นการค้ามนุษย์ แต่เมื่อเราเป็นคนไทย กฎหมายของไทยจะเข้าหรือไม่เข้าดีเอสไอก็ต้องทำหน้าที่ในการสืบสวนองค์ประกอบว่า มันเข้าหรือไม่เข้า แล้วชี้แจงเขาให้ได้ กล่าวหาเราอย่างนี้ได้อย่างไร เหมือนเขาโยนน้ำมันมาเผาบ้านคุณแล้วแบบนี้คุณยอมอย่างนั้นหรือ คุณต้องชี้แจงว่าเข้าหรือไม่เข้าองค์ประกอบของกฎหมาย ซึ่งกฎหมายค้ามนุษย์ของไทยคือกักขังหน่วงเหนี่ยว ทุบตี ไม่จ่ายเงิน แต่นี่ได้วีซ่าไป ไม่ได้วีซ่ากลับ เพราะเกินกำหนด กลับมาถึงกระทรวงแรงงานก็เป็นเจ้าภาพตั้งโต๊ะเจรจาให้กับคนที่ไม่พอใจ แล้วถามว่ามันเข้าข่ายค้ามนุษย์ตรงไหน ที่ฟินแลนด์จะดูเรื่องการนอน การกิน แล้วพฤติกรรมของคนเก็บผลไม้ป่า เก็บมากได้มาก ที่เขาทำงานเกิน 8 ชั่วโมงเพราะได้ปริมาณมาก ถือเป็นเรื่องค้ามนุษย์หรือไม่ เข้าองค์ประกอบของกฎหมายไทย เกี่ยวกันหรือไม่ ไม่อย่างนั้น รปภ.ทำงานเกิน 8 ชั่วโมงก็ถือเป็นการค้ามนุษย์ด้วยหรือไม่” นายสุชาติ กล่าว และว่า เรื่องนี้ใครที่ทำให้เสื่อมเสียก็รับไป และเรื่องนี้ใครที่ปฏิบัตินอกเหนือจากความเป็นจริงก็ต้องรับไป ใครที่กล่าวหาโดยไม่มีข้อมูลหลักฐานไม่ใช่ข้อเท็จจริง ก็ต้องรับไปทั้งหมด

ตั้งทีมกฎหมายพิจารณาฟ้องร้อง

เมื่อถามย้ำว่าจะมีการฟ้องร้องดีเอสไอและผู้กล่าวหา ใช่หรือไม่ นายสุชาติ กล่าวว่า ใครก็ตามที่ทำให้ตนเสียหาย ต้นตอทั้งหมด ขณะนี้ได้มีการตั้งทีมกฎหมายพิจารณา และรอดูว่าเขาจะมีการแนะนำอย่างไร ตนถือว่าเรื่องนี้ไม่ควรเกิดขึ้นกับคนที่เป็นอดีตรัฐมนตรี หากตนเป็นรัฐมนตรียุติธรรม แล้วไปเอาเรื่องเก่ามากล่าวอ้างอดีตรัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมบ้างได้หรือไม่ คุณไปพูดให้ข่าวอดีตรัฐมนตรีแบบนี้จะให้ต่างชาติเขามองอย่างไร ว่ารัฐมนตรีไปเกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์มันจะไปเกี่ยวข้องได้อย่างไร เพราะกฎหมายการค้ามนุษย์ มันแยกเป็นราชอาณาจักร ที่บอกว่าให้อัยการร่วมสอบ ร่วมกล่าวหาก็ต้องพูดให้ชัดว่ากล่าวหาใคร กล่าวหาเรื่องอะไร แจ้งตนเรื่องอะไร และมีการกล่าวหาอะไรมาต้องพูดให้ชัด

‘ปลัดแรงงาน’พร้อมให้ข้อมูล

นายไพโรจน์ โชติกเสถียร ปลัดกระทรวงแรงงาน ยืนยันว่า เราไม่ได้เกี่ยวข้องกับการค้ามนุษย์ การเดินทางไปทำงานต่างประเทศของแรงงานทุกคนเดินทางไปทำงานด้วยความถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนที่แจ้งว่ามาจ่ายให้กระทรวงแรงงานนั้น เราไม่ทราบ และขณะนี้ได้สั่งการให้กรมการจัดหางาน เก็บรวบรวมข้อมูลรายละเอียดต่างๆ เพื่อชี้แจงและให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับทางดีเอสไอ และ ป.ป.ช. เรียบร้อยแล้ว ทั้งข้อมูลการเดินทางตั้งแต่ปี 2563 – 2566 ว่าแรงงานไปทำงานที่ส่วนไหนของฟินแลนด์บ้าง เสียค่าใช้จ่ายไปเท่าไร นายจ้างชื่ออะไร และเสีย 3,000 บาท ให้กับใคร เพื่อให้ข้อมูลที่ถูกกล่าวหานั้นมีความชัดเจนขึ้น ซึ่งต้องดูข้อเท็จจริง

ปลัดกระทรวงแรงงาน กล่าวว่า เรื่องการลอยแพเป็นเรื่องของกลุ่มผู้ประสานงานที่พาแรงงานไทยไปทำงานที่ฟินแลนด์ ซึ่งปี 2565 เป็นการเดินทางไปทำงานด้วยตนเอง พอมาปี 2566 เป็นนายจ้างพาไปเพื่อป้องกันปัญหาแรงงานโดนเอาเปรียบ จากประเด็นเมื่อปี 2565 ที่มีปัญหาเพราะแรงงานไทยเดินทางไปเยอะ ทั้งสวีเดน ฟินแลนด์ รวมกันประมาณ 8,000 คน โดยในแต่ละปีสามารถตรวจสอบรายชื่อแรงงานได้ ซึ่งปกติจะเสียค่าใช้จ่ายเพียงคนละ ประมาณ 30,000 บาท ทั้งนี้ ตนพร้อมให้ความร่วมมือกับดีเอสไอและ ป.ป.ช.ในการให้ข้อมูล โดยในระหว่างที่ตนเป็นอธิบดีกรมการจัดหางานนั้น ปัญหาการเรียกเก็บค่าหัวคิวไม่มีข้อมูลตรงนี้ แต่ในส่วนของผู้ประสานงานเรียกเก็บ นำส่งไปเจ้าหน้าที่หรือข้าราชการระดับสูงนั้น ไม่ทราบข้อมูล