คดี‘ลุงเปี๊ยก’ลาม
DSIรับคดีพิเศษ
เอาผิดตร.อรัญฯ
ตามพรบ.อุ้มหาย
ดีเอสไอรับสอบคดี “ลุงเปี๊ยก”เป็นคดีพิเศษ ทำหนังสือส่งอัยการพบเหตุเข้าข่ายความผิดตาม พรบ.อุ้มหาย หลังจากตำรวจ สภ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว สอบสวน‘ลุงเปี๊ยก’ ไม่ชอบด้วยกฎหมาย
เมื่อวันที่ 25มกราคม ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีฆาตกรรม น.ส.บัวผัน หรือป้าบัวผัน หรือป้ากบ ตันสุ อายุ 47 ปี เหตุเกิดในพื้นที่ อ.อรัญประเทศ จ.สระแก้ว โดยเป็นฝีมือของเยาวชน รวม 5 คน ซึ่ง 2 ในนั้นเป็นลูกตำรวจในพื้นที่ ต่อมาได้มีการจับกุมนายปัญญา คงแสนคำ หรือลุงเปี๊ยก อายุ 56 ปี สามีของป้าบัวผัน มีการสอบปากคำ พาไปชี้จุดประกอบคำรับสารภาพ และส่งตัวไปขออำนาจศาลฯ ฝากขัง และส่งตัวเข้าเรือนจำ แต่ภายหลังพบหลักฐานเป็นภาพจากกล้องวงจรปิดในที่เกิดเหตุ จึงทราบว่า ลุงเปี๊ยก เป็นแพะในคดีนี้ ส่วนสาเหตุที่ยอมรับสารภาพ เป็นเพราะถูกใช้ถุงดำคลุมศีรษะ บังคับให้ถอดเสื้อนั่งตากแอร์ในห้องสอบสวน จนทนไม่ไหว ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตำรวจในวงกว้าง ว่าเมื่อวันที่ 24 มกราคมที่ผ่านมา ได้ปรากฏหนังสือด่วนที่สุด ที่ ยธ.0853/260 ลงนามโดย พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ รักษาราชการแทนอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)
สำหรับหนังสือด่วนที่สุดดังกล่าว นั้น ได้ถูกส่งไปยังอธิบดีอัยการสำนักงานการสอบสวน เรื่อง แจ้งเรื่องการสอบสวน กรณีของลุงเปี๊ยก โดยเนื้อหามีใจความว่า ด้วยกรมสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ระหว่างการสืบสวน กรณีนายปัญญา คงแสนคำ หรือลุงเปี๊ยก ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีอาญาโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งอาจเข้าข่ายการกระทำความผิดตาม พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ.2565หรือ พ.ร.บ.อุ้มหาย (เลขสืบสวนที่ 11/2567) ในการนี้ กรมสอบสวนคดีพิเศษจะดำเนินการรับกรณีดังกล่าวไว้เป็นคดีพิเศษ เพื่อให้การดำเนินการสอบสวนเป็นไปตามบทบัญญัติตามมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ. 2565”
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า บทบัญญัติตามมาตรา 31 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว ระบุอยู่ในหมวด 4 การดำเนินคดี มีสาระใจความว่า “ในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่น นอกจากพนักงานสอบสวนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญาแล้ว ให้พนักงานฝ่ายปกครองชั้นผู้ใหญ่ พนักงานฝ่ายปกครองตำแหน่ง ตั้งแต่ปลัดอำเภอหรือเทียบเท่าขึ้นไปในสังกัดกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พนักงานสอบสวนคดีพิเศษ และพนักงานอัยการ เป็นพนักงานสอบสวนมีอำนาจสอบสวนและรับผิดชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา และดำเนินคดีความผิดตาม พ.ร.บ.นี้และความผิดอื่นที่เกี่ยวพันกัน
ในกรณีที่พนักงานสอบสวนคดีพิเศษทำการสอบสวนคดีความผิดตาม พ.ร.บ.นี้คดีใดให้คดีนั้นเป็นคดีพิเศษตามกฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ กรณีการสอบสวนโดยหน่วยงานอื่นที่ไม่ใช่พนักงานอัยการ ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ แจ้งเหตุแห่งคดีให้พนักงานอัยการทราบ เพื่อเข้าตรวจสอบหรือกำกับการสอบสวนทันที
กรณีไม่แน่ว่าพนักงานสอบสวนท้องที่ใดหรือหน่วยงานใด เป็นพนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบ ให้อัยการสูงสุดหรือผู้ทำการแทนเป็นผู้ชี้ขาด ในกรณีผู้กระทำความผิดตาม พ.ร.บ.นี้เป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต และอยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ให้พนักงานสอบสวนผู้รับผิดชอบดำเนินคดีต่อไปตาม พ.ร.บ.นี้ และแจ้งให้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติทราบ
ด้าน พ.ต.ต.วรณัน ศรีล้ำ ผอ.กองคดีธุรกิจการเงินนอกระบบ ในฐานะโฆษกดีเอสไอ กล่าวถึงกรณีรับคดีลุงเปี๊ยก เป็นคดีพิเศษ ว่าตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย มาตรา 31 ระบุว่า หน่วยงานที่มีอำนาจสอบสวนได้มีอยู่ 4 หน่วยงาน คือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กรมการปกครอง และสำนักงานอัยการสูงสุด เมื่อดูในรายละเอียดมาตรา 31 วรรคสอง ระบุไว้ว่าหากดีเอสไอ ได้รับไว้ดำเนินการก็ให้เป็นคดีพิเศษ ตาม พ.ร.บ.การสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ. 2547 กระบวนการที่จะต้องดำเนินการหลังจากนี้ คือต้องแจ้งการรับคดีพิเศษไปยังสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อรับทราบและมอบหมายให้อัยการเข้ามาร่วมในการตรวจสอบกับดีเอสไอ
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวต่อว่า เราเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องที่สังคมให้ความสนใจ เป็นประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการบังคับใช้กฎหมายจึงมีความเห็นว่าควรเชิญ 3 หน่วยงานดังกล่าวเข้าร่วมประชุมและเป็นพนักงานสอบสวนร่วมกัน ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี โดยที่ดีเอสไอจะเสนอเรื่องผ่าน รมว.ยุติธรรม จากนั้นจึงมีการสอบสวนร่วมกันเพื่อให้เกิดความโปร่งใส
พ.ต.ต.วรณัน กล่าวอีกว่า การที่ดีเอสไอส่งเจ้าหน้าที่ไปสอบปากคำลุงเปี๊ยก ถึงพฤติการณ์ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.อรัญประเทศ ในวันเกิดเหตุ ในข้อเท็จจริงมีพยานหลักฐานพอสมควร มีเหตุที่จะเข้าสู่กระบวนการสอบสวนได้ ส่วนในรายละเอียดเชิงลึกขอละเว้นการเปิดเผยไว้ก่อน แม้ส่วนใหญ่จะเห็นได้จากสื่อสารมวลชนอยู่แล้ว ทั้งเรื่องคลิปวิดีโอ เป็นต้น แต่ยังเร็วไปที่จะปักธงว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับการกระทำความผิด เพราะต้องดูรายละเอียดให้ครบถ้วนก่อน อย่างไรก็ดี แม้ท้ายสุดจะมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปเกี่ยวข้องจริง กฎหมายก็ระบุว่าให้พนักงานสอบสวนแจ้งไปยัง ป.ป.ช. เพื่อรับทราบและทำการสอบสวน โฆษกดีเอสไอ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินคดี หรืออัตราโทษ หากมีเจ้าหน้าที่รัฐเข้าไปกระทำผิดตาม พ.ร.บ.อุ้มหาย จะมีทั้งโทษทางปกครองและอาญา ขึ้นอยู่ว่าประพฤติผิดในรายมาตราใดของกฎหมายดังกล่าว เบื้องต้นมีโทษจำคุก 5-15 ปี และต้องรอดูการรวบรวมข้อมูลของทางคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงของตำรวจด้วย ทั้งนี้ พฤติการณ์ทางคดีการเสียชีวิตของป้าบัวผัน และในส่วนของลุงเปี๊ยกถือว่าแยกขาดจากกัน แต่สามารถใช้รายละเอียดในคดีประกอบการพิจารณาได้ หากมีความคืบหน้าอย่างไรจะรายงานให้ทราบต่อไป และทั้ง 4 หน่วยงานจะนัดหมายประชุมในเรื่องลุงเปี๊ยกให้เร็วที่สุด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี