เอสซีจี เปิดบ้านเอสซีจี ลำปาง ชมกระบวนการผลิตสีเขียว เพิ่มสัดส่วนเชื้อเพลิงทดแทน ร้อยละ 40 เร่งผลิตปูนคาร์บอนต่ำ นวัตกรรมรักษ์โลกพร้อมชวนชุมชนร่วมฟื้นน้ำ สร้างป่าตั้งโครงการ “กองทุนคาร์บอนเครดิตชุมชน” หนุนปลูกป่าต้นน้ำกว่า 500,000 ไร่ ส่งเสริมการ “ชิงเก็บ ลดเผา” ลดฝุ่น PM 2.5 ใช้เทคโนโลยีจัดการน้ำช่วยให้มีน้ำทำเกษตรตลอดปีสร้างอาชีพตามอัตลักษณ์แต่ละพื้นที่ ลดเหลื่อมล้ำให้ชุมชนพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน
นายโอบบุญ แย้มศิริกุล ผู้อำนวยการสำนักงาน Enterprise Brand Management เอสซีจี กล่าวว่า เอสซีจีดำเนินธุรกิจด้วยกลยุทธ์ ESG 4 Plus เร่งสร้างสังคม Net Zero ที่น่าอยู่ ตั้งเป้าบรรลุการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในปี 2593 โดยทุกธุรกิจมุ่งใช้กระบวนการผลิตเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม พัฒนานวัตกรรมรักษ์โลก และร่วมกับทุกภาคส่วนลดเหลื่อมล้ำให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น ได้แก่ โครงการรักษ์ภูผามหานที เพื่อให้ชุมชนมีน้ำใช้ตลอดปีด้วยการสร้างฝายชะลอน้ำ ซึ่งทำไปแล้วกว่า 120,000 ฝาย และโครงการพลังชุมชน อบรมให้ความรู้ เปลี่ยนวิธีคิด สร้างอาชีพ มีรายได้เพิ่มจากการเพิ่มมูลค่าสินค้าในท้องถิ่นให้โดดเด่นและตอบโจทย์ความต้องการตลาด ปัจจุบันมีผู้ร่วมเข้าทั้ง 2 โครงการกว่า 200,000 คน จาก 500 ชุมชน ใน 37 จังหวัด เกิดเป็นเครือข่ายชุมชนเข้มแข็ง
นายวรการ พงษ์ศิริกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัทปูนซิเมนต์ไทย (ลำปาง) จำกัด กล่าวว่า เรายึดหลัก “สร้างงานสร้างความเจริญ รักษาสิ่งแวดล้อม และเป็นพลเมืองดีของลำปาง” ดำเนินงานโดยคำนึงถึงการอยู่ร่วมกับชุมชน สังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยกระบวนการผลิตที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยเพิ่มสัดส่วนเชื้อเพลิงทดแทน ร้อยละ 40 อาทิ ชีวมวล ขยะมูลฝอยจากชุมชนวัสดุเหลือใช้ทางการเกษตร เช่น ฟางข้าวเปลือกข้าวโพด กิ่งไม้ใบไม้ จากโครงการ “ชิงเก็บ ลดเผา” ช่วยลดฝุ่น PM2.5 ในพื้นที่ได้อย่างดี และเพิ่มสัดส่วนไฟฟ้าจากพลังงานสะอาด ร้อยละ 26 ด้วยการติดตั้งโซลาร์ลอยน้ำ โซลาร์รูฟท็อป นำลมร้อนเหลือทิ้งกลับมาใช้ใหม่ อีกทั้งใช้ยานยนต์ไฟฟ้า รถบรรทุกหินปูน-รถตัก-รถขุดไฟฟ้าในโรงงาน ขณะเดียวกันยังผลิตปูนคาร์บอนต่ำซึ่งช่วยลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 0.05 ตัน CO2 ต่อการผลิต 1 ตัน และปีนี้เตรียมออกปูนคาร์บอนต่ำ รุ่นที่ 2 ซึ่งสามารถลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้เพิ่มขึ้นจากรุ่นแรกอีกร้อยละ 5 นอกจากนี้ยังส่งเสริมองค์ความรู้และเทคโนโลยีบริหารจัดการน้ำให้ชุมชนพึ่งพาตนเอง ผ่านการสร้างฝายชะลอน้ำ การปลูกป่าชุมชน และต่อยอดสู่การพัฒนาอาชีพ
นายสงกรานต์ เป็นพวก ผู้ใหญ่บ้านสาแพะเหนือ อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง กล่าวว่า ช่วงปี 2558-2559 เกิดภัยแล้งรุนแรง ต้นข้าวยืนต้นแห้งตายเกือบทั้งหมู่บ้าน ชุมชนจึงเข้าร่วม “โครงการรักษ์ภูผามหานที” กับเอสซีจี ลำปาง เพื่อเรียนรู้การบริหารจัดการน้ำควบคู่กับการดูแลป่าต้นน้ำ เช่น สร้างฝายชะลอน้ำ ฝายใต้ทราย วังเก็บน้ำ ประตูเปิด-ปิดน้ำ ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำให้อ่างเก็บน้ำชุมชน “อ่างห้วยแก้ว” ได้ถึง 80,000 ลบ.ม. ทั้งยังลดการสูญเสียการจ่ายน้ำด้วยการทำบ่อพวงคอนกรีตตามสันเขา ชุมชนจึงสามารถกักเก็บน้ำเพื่อเพาะปลูกได้ตลอดปี ทำให้ชุมชนสร้างรายได้เฉลี่ยปีละ 20 ล้านบาท
นายสุมัย หมายหมั้น นายกสมาคมเพื่อการเรียนรู้ป่าชุมชน จ.ลำปาง กล่าวว่า เพื่อสนับสนุนชุมชนใช้ประโยชน์จากป่าอย่างยั่งยืน จึงร่วมกันก่อตั้ง “เครือข่ายป่าชุมชน” เมื่อปี 2552 และขยายผลสู่การก่อตั้ง “สมาคมเพื่อการเรียนรู้ป่าชุมชน จ.ลำปาง” ในปี 2564 โดยจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนความรู้เพื่อร่วมกันอนุรักษ์ป่าไม้ ซึ่งนำไปสู่การจัดตั้ง “กองทุนคาร์บอนเครดิตชุมชน” เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ภัยแล้ง น้ำท่วม หมอกควัน ไฟป่า ฝุ่น PM 2.5 ซึ่งช่วยลดเหลื่อมล้ำทางสังคม 3 ด้านสำคัญ ได้แก่ การศึกษาอาชีพ และสุขภาวะ โดยการเข้าร่วมโครงการพลังชุมชน ซึ่งเป็นหลักสูตรอบรมวิสาหกิจชุมชนตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อพัฒนาอาชีพ สร้างโอกาสให้ชุมชนพึ่งพาตนเอง ช่วยสร้างเศรษฐกิจฐานรากของไทยให้เข้มแข็งเติบโตอย่างยั่งยืน
นางภัทชา ตนะทิพย์ นวัตกรตัวแม่ ชุมชนวังชิ้น จ.แพร่ กล่าวว่า หลังจากเข้าอบรม “โครงการพลังชุมชน” จึงนำวิธีคิด “ง่าย ไว ใหม่ ใหญ่ ยั่งยืน” มาใช้สร้างอาชีพ ด้วยการ “แปรรูป” กล้วยหอมทองอย่างหลากหลาย อีกทั้งได้ชวนเยาวชนในท้องถิ่นมาร่วมออกแบบบรรจุภัณฑ์สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้า โดยใช้ความรู้และเทคโนโลยีการผลิตจาก LocoPack ของ SCGP เป้าหมายถัดไปคือการ “พัฒนาชุมชนวังชิ้น” เป็นชุมชนเศรษฐกิจ “กล้าคิด กล้าทำ ทำต่อเนื่อง”ตั้งศูนย์นวัตกรรมกล้วยหอมทองครบวงจร เปิดสอนอาชีพ สร้างงานให้ชุมชนมีรายได้เพิ่ม และเชิญชวนคนรุ่นใหม่มาร่วมพัฒนาการตลาดเชื่อมกับแผนการท่องเที่ยวให้เป็นชุมชนท่องเที่ยวเชิงสุขภาพและชุมชนต้นแบบเศรษฐกิจ จ.แพร่
นายสินชัย พุกจินดา เจ้าของโฮมสเตย์ หมอนไม้ไออุ่น จ.แพร่กล่าวว่า หลังจากได้เข้าอบรมในโครงการพลังชุมชน จึงเกิดความคิดว่าชุมชนเรามีของดีที่เป็นเอกลักษณ์และพัฒนาเป็นอาชีพได้ นั่นคือทิวทัศน์ที่สวยงาม อากาศดี น่าท่องเที่ยว จึงใช้ทักษะการเป็นช่างเฟอร์นิเจอร์ไม้สักมาออกแบบโฮมสเตย์ “หมอนไม้ไออุ่น” โดยนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสเครื่องเรือนไม้สักที่ทำจากมือด้วยหัวใจ ให้บริการอาหารเครื่องดื่ม ชมทิวทัศน์ที่สวยงามท่ามกลางภูเขา ส่งผลให้ที่นี่กลายเป็น “จุดเช็คอิน” ที่นักเดินทางต้องแวะเวียนมา นอกจากนี้ ยังเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านนำสินค้าของฝากของที่ระลึกมาจำหน่าย และในอนาคตจะดึงคนรุ่นใหม่เข้ามามีส่วนร่วม เพื่อยกระดับให้ อ.วังชิ้นเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ ช่วยสร้างงาน อาชีพ และยังทำให้คนท้องถิ่นภูมิใจในบ้านเกิดด้วย
จากตัวอย่างความร่วมมือของทุกภาคส่วนและบุคคลหลากหลายวัย ส่งผลให้ชุมชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ควบคู่กับการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน และนำไปสู่เป้าหมายสังคม Net Zero ได้
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี