วันพุธ ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
ศาสตร์‘STEM’ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต้องเน้น!..หากอยากเป็น‘ชาติพัฒนาแล้ว’

ศาสตร์‘STEM’ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ต้องเน้น!..หากอยากเป็น‘ชาติพัฒนาแล้ว’

วันจันทร์ ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2567, 07.00 น.
Tag : STEM
  •  

“ประเทศไทยเรามีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจที่เรียกว่าอยู่ในระดับต่ำ ล่าสุดเราก็เป็นห่วงกัน ตัวเลข GDP ออกมาก็อยู่ที่ 2.4-2.7 แล้วการคาดการณ์ก็อยู่ประมาณนี้ จะไม่ถึง 3 ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้าก็จะเป็นแบบนี้ไปสักระยะหนึ่ง ซึ่งปัญหาใหญ่มันก็สะท้อนว่าความสามารถในการแข่งขันลดลง”

เสาวรัจ รัตนคำฟู ผู้อำนวยการวิจัยด้านนโยบายนวัตกรรมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) กล่าวในงานสัมมนาสาธารณะ “ขับเคลื่อนประเทศไทยด้วยการยกระดับการศึกษาและกำลังคนด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี วิศวกรรมศาสตร์ และคณิตศาสตร์ (STEM)” จัดโดย TDRI ร่วมกับ สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) เมื่อช่วงต้นเดือนมี.ค. 2567 ฉายภาพสถานการณ์ของประเทศไทยที่เมื่อขีดความสามารถในการแข่งขันลดลง ผลที่สะท้อนออกมาคืออัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจก็ลดลงด้วย


และเมื่อดูผลการศึกษาทั่วโลก จะพบว่า “STEM หรือ 4 วิชาอันประกอบด้วย วิทยาศาสตร์ (Science) เทคโนโลยี (Technology) วิศวกรรมศาสตร์ (Engineering) และคณิตศาสตร์ (Mathematics) เป็นกุญแจสำคัญในการพัฒนาประเทศ” เห็นได้จากบรรดาประเทศที่ถูกเรียกว่า “ประเทศพัฒนาแล้ว” ผู้คนมีรายได้สูง จะให้ความสำคัญกับการคิดค้นนวัตกรรมและเทคโนโลยี ทั้งการพัฒนากำลังคน การส่งเสริมกิจการประเภท “สตาร์ทอัพ (Startup)” เช่น เดนมาร์ก สวีเดน นอร์เวย์ ฟินแลนด์ มีสัดส่วนนักวิจัยต่อประชากรสูง

เช่นเดียวกับ สหรัฐอเมริกา อิสราเอล ออสเตรีย พบอัตราการจ้างงานในกลุ่มอาชีพ STEM ที่สูง เป็นต้น ขณะที่ประเทศไทยมีอัตราการจ้างงานในกลุ่มอาชีพ STEM ที่ค่อนข้างต่ำดังนั้นคำถามคือ “ประเทศไทยจะพัฒนาการศึกษาและกําลังคนด้าน STEM ได้อย่างไร?” ซึ่งประเทศไทยมีคนที่กำลังทำงาน 39.6 ล้านคน ในจำนวนนี้อยู่ในงานกลุ่ม STEM เพียง 1.4 ล้านคน นอกจากนั้น ในขณะที่มีผู้สำเร็จการศึกษาด้าน STEM ถึง 4.4 ล้านคน แต่ในจำนวนนี้ได้ทำงานที่เกี่ยวข้องกับ STEM เพียง 1 ล้านคน ส่วนที่เหลืออีกกว่า 3 ล้านคนไปทำงานด้านอื่น

“ทำไมคนที่จบ STEM ไม่ทำงาน STEM เป็นเพราะว่ารายได้เขาได้น้อยกว่าหรือ? ไม่จริงเลย! เราพบว่าคนที่เป็นอาชีพ STEM จบสาขา STEM ได้รายได้สูงกว่าคนที่จบสาขาอื่นหรือว่าทำอาชีพอื่น คนที่จบ ป.ตรี สาขา STEM ทำอาชีพ STEM รายได้มัธยฐานอยู่ที่ 2.6 หมื่นบาท ขณะที่คนที่จบ ป.โท หรือ ป.เอก มีรายได้มัธยฐานอยู่ที่ 4 หมื่นบาท จะเห็นว่าคนที่จบ STEM และทำงานอาชีพ STEM มีรายได้สูงสุด ทีนี้ก็เป็นคำถามตัวใหญ่ๆ แล้วว่าทำไมรายได้ก็ดี-ความต้องการก็มี แต่ทำไมมันถึงมีปัญหา” เสาวรัจ กล่าว

ขณะที่ พงศ์ทัศ วนิชานันท์ นักวิจัยอาวุโสด้านการปฏิรูปการศึกษา TDRI กล่าวถึง “4 ด่านแห่งความล่าช้า” ซึ่ง องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ชี้ว่าเป็นปัจจัยทำให้การศึกษาไม่ตอบโจทย์โลกจริงไว้ดังนี้ 1.การตระหนักรู้ (Recognition Lag) ทุกคนในประเทศยังเห็นไม่ตรงกันว่าจำเป็นต้องปรับเป้าหมายใหม่หรือไม่? และยิ่งต้องพูดคุยหารือกันนานเพื่อให้เกิดฉันทามติร่วมก็จะยิ่งล่าช้า

2.การตัดสินใจ (Decision-making Lag) เมื่อมีความเห็นร่วมกันแล้ว คำถามต่อมาคือจะนำเป้าหมายใหม่มาใช้ปรับหลักสูตรการศึกษาได้เร็วเพียงใด? 3.การดำเนินการ (Implementation Lag) เป้าหมายที่ถูกนำมาใช้แล้วอาจไม่ได้ผลลัพธ์ตามที่ตั้งใจไว้ และ 4.ผลลัพธ์ (Impact Lag) เช่น เด็กเริ่มเรียนชั้น ป.1 กว่าจะเห็นผลลัพธ์ก็ต้องรอจนถึงชั้น ม.3 หรือ ม.6 ที่เป็นช่วงรอยต่อกับการเรียนระดับอาชีวศึกษาหรืออุดมศึกษา

เมื่อเปรียบเทียบประเทศไทย กับประเทศที่ได้อันดับสูงๆ ด้านผลลัพธ์ทางการศึกษา เช่น สิงคโปร์ ฟินแลนด์และอังกฤษ อ้างอิงจากผลสอบ PISA ในวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่ทั้ง 3 ชาติ ได้อันดับต้นๆ ของโลก ต่างจากไทยที่อยู่ในกลุ่มท้ายตาราง ซึ่งพบปัจจัยที่ทำให้ประเทศเหล่านี้มีความเข้มแข็งด้าน STEM คือ 1.กำหนดระยะเวลาที่ต้องทบทวนหลักสูตร โดยสิงคโปร์ อยู่ที่ 6-10 ปี ฟินแลนด์ 7-10 ปี และอังกฤษอยู่ที่ทุกๆ 10 ปี

2.ปรับหลักสูตรให้ตรงกับความต้องการในโลกจริงอิงกับสถานการณ์ เน้นสมรรถนะหรือการคิดชั้นสูง สิงคโปร์กับฟินแลนด์นั้นเน้นทั้งความรู้ (Knowledge) สมรรถนะ (Skill) และทัศนคติ (Attitude) ที่ดี ส่วนอังกฤษจะเน้นที่ความรู้และทักษะการคิดชั้นสูง ผู้เรียนสามารถประยุกต์ใช้ ประเมินคุณค่าและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ได้ 3.มีคําอธิบายหลักสูตรช่วยครูสอนตรงจุด แนะนําแนวทางการนําสถานการณ์จริงมาสอน เช่น ทฤษฎีทางวิทยาศาสตร์นี้มีที่มาอย่างไร เพื่อครูจะได้เข้าใจแล้วมองเห็นภาพว่าจะนำไปสอนโดยอิงกับสถานการณ์จริงอย่างไร

4.ให้อิสระโรงเรียนปรับโครงสร้างเวลาการเรียนการสอน โดยส่วนกลางจะกำหนดไว้เพียงกว้างๆ เช่น จำนวนวันเรียนทั้งหมด หรือชั่วโมงเรียนต่อวันเป็นเท่าไร แล้วให้แต่ละโรงเรียนบริหารจัดการกันเอง 5.มีระบบประกันคุณภาพผู้เรียนด้วยการสอบ ซึ่งแม้กระทั่งฟินแลนด์ แม้จะมีระบบโรงเรียนประเมินผู้เรียน แต่ก็ยังมีการสอบระดับชาติ เพื่อให้เด็กทุกคนเรียนจบด้วยมาตรฐานเดียวกัน

6.ให้ความสําคัญกับคุณภาพการผลิตครู กำหนดว่าคนจะเป็นครูต้องสำเร็จการศึกษาจากสถาบันผลิตครู หรือไม่ก็ต้องผ่านการฝึกอบรมจากสถาบันผลิตครู แต่มีข้อสังเกตว่า สิงคโปร์และฟินแลนด์มีสถาบันผลิตครูไม่มากนักจึงสามารถควบคุมคุณภาพได้ 7.มีกลไกคัดเลือกครูที่มีประสิทธิภาพข้อนี้สิงคโปร์คำนวณความต้องการครูจากส่วนกลาง แตกต่างจากอังกฤษกับฟินแลนด์ที่ให้อิสระโรงเรียนในการคัดเลือกครู โดยส่วนกลางเป็นผู้อุดหนุนงบประมาณค่าจ้างครู

8.ให้ความสําคัญกับการพัฒนาครูอย่างต่อเนื่อง มีการประเมินครูโดยอิงกับผลลัพธ์ของผู้เรียน นอกจากนั้น กรณีของครูบรรจุใหม่ในอังกฤษ ปีแรกลดภาระงานสอนร้อยละ 10 และปีที่ 2 ลดร้อยละ 5 เพื่อให้ไปเรียนรู้งานกับครูอาวุโสมีประสบการณ์สูง 9.การสอน STEM เป็นวิชาภาคบังคับของทุกโรงเรียน ไม่ได้แยกเป็นวิชาพิเศษ จึงไม่มีการจัดสรรเงินอุดหนุนเพิ่มเติม

และ 10.ยังไม่มีข้อสรุปว่าการจัดสรรงบประมาณรูปแบบใดดีที่สุด เช่น หากอุดหนุนงบประมาณรายหัว ก็อาจมีปัญหาโรงเรียนรายงานข้อมูลจำนวนนักเรียนมากกว่าที่มีอยู่จริง หรือหากอุดหนุนตามระดับผลการเรียน ก็อาจมีปัญหาโรงเรียนปล่อยเกรดเพื่อให้ได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น ดังนั้น ต้องหากลไกอื่นมาแก้ไขปัญหาเหล่านี้ เช่น การประกันคุณภาพครู การสอบ

โดยการประกันคุณภาพ กรณีของสิงคโปร์ มีการประเมินจากภายนอกทุกๆ 6 ปี ส่วนอังกฤษประเมินทุกๆ 3 ปี อีกทั้งมีหน่วยงานเข้าไปดูโรงเรียนที่มีสถานการณ์น่ากังวล เพื่อจัดสรรทรัพยากรให้โรงเรียนกลุ่มนี้เป็นพิเศษ มีการประเมินคุณภาพครู โดยสิงคโปร์มีระบบ EPMS ประเมินทุกปี ฟินแลนด์มีองค์กร FINEEC ช่วยเหลือโรงเรียนวัดและประเมินคุณภาพ ส่วนอังกฤษใช้กลไกตลาดด้วยการเผยแพร่ผลการประเมินคุณภาพโรงเรียนต่อสาธารณะ

“นอกจากระบบที่เข้มแข็ง มีความรับผิดรับชอบ เอื้อให้โรงเรียนมีอิสระแล้ว จะเห็นว่า Spirit ของทั้ง 3 ประเทศคือเขาไม่ได้มองระบบต่างๆ แยกส่วนกัน เขาใช้การออกแบบให้ทุกส่วนมีความสอดคล้องกัน มีทั้งระบบบุคลากรและงบประมาณที่เชื่อมต่อกัน มีระบบประกันคุณภาพที่คอยเชื่อมเรื่องการประเมินหลักสูตรหรือว่าเรื่องบุคลากร อันนี้คือหัวใจสำคัญ ฉะนั้นในการถอดเอามาวิเคราะห์ของไทย เราคงไม่ได้บอกว่าเราทำแบบฟินแลนด์สิ ทำแบบสิงคโปร์สิ เราเอา Spirit ของประเทศเหล่านี้มาเป็นกรอบการวิเคราะห์และให้ข้อเสนอแนะ” พงศ์ทัศ กล่าว

เมื่อมาดู “สถานการณ์ในประเทศไทย” พงศ์ทัศยกตัวอย่างผลสอบ PISA ที่สอบใน 3 ด้าน คือ คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์และการอ่าน พบว่า คะแนนของไทยมีแนวโน้มลดต่ำลงตลอด 10 ปี และอยู่ห่างจากกลุ่มประเทศ OECDมากขึ้นเรื่อยๆ “ผลสอบ PISA ยังชี้ว่า เด็กไทยกว่าครึ่งยังไม่รู้จักการใช้ความรู้ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์แก้ปัญหาอย่างง่ายหรืออธิบายปรากฏการณ์ที่พบในชีวิตประจำวัน” ขณะที่การปรับหลักสูตร วิธีคิดของไทยคือปรับเพื่อให้โรงเรียนนำไปใช้ได้ดีขึ้นมากกว่าการปรับเป้าหมายให้ทันสมัย

ประการต่อมา “หลักสูตรไทยแม้จะเน้นความรู้ (Knowledge) แต่ยังไปไม่ถึงขั้นส่งเสริมการคิดขั้นสูง” เน้นเพียงการท่องจำและทำความเข้าใจเพื่อประยุกต์ใช้ คำอธิบายหลักสูตรก็ยังไม่ทำให้ครูเข้าใจชัดเจนในการนำไปใช้กับโลกจริง จึงขึ้นอยู่กับครูแต่ละคนว่าจะทำได้มาก-น้อยเพียงใด นอกจากนั้น“แม้กระทรวงศึกษาธิการจะอนุญาตให้ปรับโครงสร้างเวลาเรียนได้ตามความเหมาะสม แต่ในทางปฏิบัติโรงเรียนก็ไม่กล้าทำ” ซึ่งเป็นปัญหาเรื่องการสื่อสาร

และไม่มีการประกันคุณภาพนักเรียน โดยการเรียนจบอยู่ที่การรับรองของแต่ละโรงเรียน ส่วนการสอบระดับชาติก็เป็นภาคสมัครใจ ทำให้เกิดมาตรฐานไม่เท่ากันของแต่ละโรงเรียน แต่ขณะเดียวกันหลายคนก็ยังมีทัศนคติเชิงลบต่อการประเมิน เพราะไม่อยากให้ใช้ไม้บรรทัดอันเดียวตัดสินทุกคน ขณะที่ด้านบุคลากร “แม้ไทยจะผลิตครูได้เกินกว่าความต้องการของตลาดแรงงาน แต่โครงการผลิตครูด้าน STEM ยังมีเป็นสัดส่วนน้อย อีกทั้งโรงเรียนก็ไม่มีอำนาจคัดเลือกครู” นอกจากนั้นยังมีเรื่องการขาดแรงจูงใจ เพราะเงินเดือนครู STEM ยังไม่แข่งขันในตลาดแรงงาน

“ขาดการส่งเสริมการพัฒนาวิชาชีพ เราเห็นว่าการกำหนดอัตรากำลังไม่มีจำนวนชั่วโมงพัฒนาครูอยู่ในสมการ ยังไม่เน้นการประเมินครูที่ผลสัมฤทธิ์หรือการพัฒนาวิชาชีพ อันนี้ยังน้อยอยู่ ส่วนเรื่องงบประมาณ เราก็ยังตอบไม่ได้เรื่องการปรับสูตรจัดสรรมันเพียงพอต่อการสอนแบบ STEM หรือส่งเสริมการสอนแล้วหรือยัง แล้วก็ยังขาดกลไกรับผิดชอบอยู่ เพราะ KPI ของคนที่จัดสรรเงินให้โรงเรียนยังอยู่ที่จำนวนเด็กที่จัดสรรให้ ไม่ใช่ที่ผลลัพธ์หรือผลสัมฤทธิ์ของเด็ก” พงศ์ทัศ ระบุ

ยังมีปัญหาอื่นๆ เช่น มีภาระงานอื่นๆ จำนวนมากจนทำให้ครูจัดการสอนได้ไม่เต็มที่ซึ่งส่งผลต่อการเรียนของนักเรียน เนื่องจากแนวปฏิบัติของแต่ละหน่วยงานที่เข้ามาประเมินไม่สัมพันธ์กัน, การจัดสรรทรัพยากรก็ยังไม่มีประสิทธิภาพ เพราะไม่มีการเน้นไปที่โรงเรียนกลุ่มเสี่ยง อนึ่ง “สถาบันการศึกษาชั้นนำบางแห่งผลิตผู้เรียนที่เก่งด้าน STEM ได้ดีมาก แต่ยังขาดการขยายผลไปสู่โรงเรียนอื่นๆ ที่เหลือ” ซึ่งมาจากหลายปัจจัยเช่น มีอิสระในการบริหารจัดการมากกว่าโรงเรียนทั่วไป เด็กที่มาเรียนถูกคัดมาแล้วจากการสอบแข่งขัน มีงบประมาณมาก

สำหรับ “ข้อเสนอเชิงนโยบาย” แบ่งเป็น “ระยะสั้น” ทำได้ทันที คือ 1.ปรับวิธีการสื่อสารเรื่องนโยบายปรับโครงสร้างเวลาเรียน เพื่อให้แต่ละโรงเรียนกล้านำนโยบายไปใช้ปรับเวลาให้เหมาะสม เช่น สื่อสารโดยอ้างอิงต้นแบบโรงเรียนที่กล้าปรับแล้ว 2.ลดภาระงานอื่นๆ ของครู ซึ่งปัจจุบันเริ่มเห็นบ้างแล้ว เช่น ลดงานธุรการ มีการจัดสรรอัตรากำลังในส่วนของนักการภารโรง สิ่งที่ควรทำต่อไปคือทบทวนแนวปฏิบัติด้านการประเมิน ทั้งของหน่วยงานภายในกระทรวงศึกษาธิการและหน่วยงานภายนอก เพื่อให้ครูใช้เวลากับการสอนได้มากขึ้น

ส่วน “ระยะกลางถึงระยะยาว” แบ่งเป็น 1.สร้างกลไกปรับหลักสูตรให้ทันสมัย เช่น แก้กฎหมาย พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติ กำหนดให้มีวงรอบการทบทวนหลักสูตรที่ชัดเจน (อย่างน้อยคือไม่ควรเกิน 10 ปี) เพื่อให้หลักสูตรทันสมัยอยู่เสมอ 2.ปรับปรุงระบบบริหารบุคลากร เช่น ส่งเสริมการผลิตครู STEM ในระบบปิด แต่ก็ต้องมีมาตรการรองรับหากผู้เรียนที่ได้รับทุนผลิตครูกลุ่มนี้เรียนไม่จบหลักสูตร

ขณะเดียวกันควรหาแนวทางปรับฐานเงินเดือนครูวิทย์-คณิต เพื่อให้แข่งขันในตลาดแรงงานได้ นำชั่วโมงพัฒนาวิชาชีพมาคำนวณเกณฑ์อัตรากำลัง เช่น ลดเวลาสอนลงเล็กน้อยสำหรับครูบรรจุใหม่และครูอาวุโส เพื่อให้มีเวลาได้ไปเรียนรู้หรือไปเป็นพี่เลี้ยง ปรับเกณฑ์ประเมินคุณภาพครูด้วยพัฒนาการของผู้เรียน (ไม่ใช่ผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน) 3.ปรับระบบงบประมาณเพื่อส่งเสริม STEM เช่น การทบทวนและปรับหลักสูตร การวางแผนพัฒนาครู การจัดงบประมาณอุดหนุนโรงเรียนให้เพียงพอต่อการสอนวิชาด้าน STEM

และ 4.การประกันคุณภาพผู้เรียน เช่น ปรับปรุงระบบการสอบอย่าง O-Net หรือใช้เครื่องมือที่สามารถประเมินสมรรถนะหรือการคิดชั้นสูงมาใช้เป็น Exit Examination (การสอบไล่) ในช่วงชั้นที่เชื่อมกับการเรียนต่อในระดับสูงขึ้น พร้อมวางมาตรการรองรับสำหรับนักเรียนที่ไม่ผ่านเกณฑ์ อีกทั้งต้องสื่อสารให้สังคมเข้าใจว่า การประเมินเป็นไปเพื่อประกันคุณภาพทางการศึกษาและสร้างการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพื่อการตัดสินให้คุณ-ให้โทษ

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

  •  

Breaking News

โวยวาย! 'พีระพันธุ์' ไม่เกี่ยว! กลุ่ม 18 รทสช. ดิ้นขอเก้าอี้!

‘ในหลวง‘ ทรงมีพระราชสาส์นอำนวยพร ปธน.สาธารณรัฐสโลวีเนีย

'ป๋อ'ยก'เอ๋'เป็นหญิงแกร่ง ขออโหสิกรรมให้คนที่สาปแช่ง

'ปชน.'แท้งกิ้ว 'ภท.'ชวนร่วมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ'อิ๊งค์'ยันซักฟอกแน่ แต่ขอดู‘ไทม์มิ่ง’

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved