บุกวัดนครอินทร์
‘ทนายตั้ม’ขุดเงินทำบุญบัญชีม้า
เอาผิด‘บิ๊กตร.-ภรรยา’ฟอกเงิน
“ทนายตั้ม” ใจถึงบุกวัดนครอินทร์ นนทบุรี เผยพบเส้นทางเงินบัญชีม้าโอนเข้าวัด เตรียมแจ้งความเอาผิด “บิ๊กตำรวจ”-ภรรยา และบัญชีม้า วันจันทร์นี้ หลังพบ
หลักฐานฟอกเงินชัดเจน ทั้งยังพบ38 เส้นทางการเงิน
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 30 มีนาคม 2567 ที่วัดนครอินทร์ จังหวัดนนทบุรี นายษิทรา เบี้ยบังเกิด เลขาธิการมูลนิธิทีมงานทนายประชาชน เดินทางมาทำบุญและบริจาคเงินเพื่อสร้างเจดีย์ทุเรียนที่กำลังก่อสร้างอยู่ โดยระบุว่า รู้สึกดีที่ได้มาครั้งนี้เป็นครั้งแรก วันนี้มาบริจาคเงินของตัวเองจากหยาดเหงื่อและแรงงาน จำนวน 5,000 บาท ก็ขอให้ครอบครัวมีความสุขความเจริญ ทำบุญแล้วจิตใจผ่องแผ้ว ที่มาที่วัดแห่งนี้เพราะเห็นในข่าว พอดีตนได้ข้อมูลมาว่ามีคนนำเงินไม่บริสุทธิ์มาถวาย วันนี้จึงชวนๆ พี่นักข่าวมาทำบุญกัน โดยเอาเงินบริสุทธิ์มาทำเพื่อสร้างเจดีย์ให้สำเร็จ ทางวัดหรือหลวงพ่อหรือคนในวัดท่านไม่ทราบหรอก ว่าใครจะเอาเงินอะไรมา แต่คนที่เอาเงินที่เป็นเงินส่วยหรือเงินที่ได้จากการขูดรีดประชาชนมาทำ ตนคิดว่าจะได้บุญน้อยกว่าชาวบ้านที่บริจาคแค่ 10 บาท 20 บาท ตนไม่เคยมาวัดนี้มาก่อนจึงเข้ามาดูเจดีย์ที่วัดกำลังก่อสร้างว่าก่อสร้างถึงไหนแล้ว
นายษิทรา เปิดเผยว่า ตอนนี้ตรวจพบเส้นทางการเงิน 2 เส้น จากบัญชีม้าที่รับส่วยได้มาจากเว็บพนัน มีการโอนเข้ามาครั้งแรก 100,000 บาท ครั้งที่ 2 700,000 บาท โดยมีทั้งคชาชาญและณัฐพงษ์ ที่เป็นบัญชีม้าใช้ประจำ คนจัดการจ่ายเงินของนายพล ต. เพราะว่าทางวัดได้มีการโพสต์ไว้แล้วว่านายพล ต. ได้บริจาคเงินจำนวน 10 ข้อหาฟอกเงิน ตนไปเจอหลักฐานมาแล้ว ส่วนเรื่องภรรยาของนายพล ต. พบเส้นเงิน ตอนแรกแค่เส้นเดียวแต่ตอนนี้เจอ 30 กว่าเส้นแล้ว ต้องย้อนไป 3 ปีที่แล้ว เขาโอนเป็นรายเดือน ตอนนี้ก็หาเส้นเงินอยู่เรื่อยๆ คิดว่าน่าจะเป็นความผิดหลายกรรม
นายษิทรา กล่าวว่า วันจันทร์นี้ที่ 1 เมษายนนี้ ตนจะไปแจ้งความดำเนินคดี นายพล ต. และภรรยา ที่ สน.เตาปูน ในข้อหาร่วมกันฟอกเงิน หลักฐานชัดเจนแล้ว ตอนแรกตนไม่มีอะไรยืนยันได้ เรื่องเส้นเงินว่ามาจากใคร และพยายามจะตรวจสอบกับทางวัดแต่เข้าใจว่าทางวัดว่าจะส่งบัญชีไปที่สำนักพุทธ ซึ่งเป็นกฎว่าต้องส่งบัญชีว่าใครบริจาคเท่าไรไป แต่ทางวัดนี้ยังไม่ได้ส่งไปจึงขอให้สำนักพุทธช่วยมาตรวจสอบก่อน เขาต้องมีชื่ออยู่ว่าบัญชีนี้ใครเป็นคนโอน ใครเป็นคนบริจาค ไม่ว่าจะเป็นการโอนหรือบริจาคเป็นเงินสด ทางวัดต้องทำบัญชีให้ครบถ้วน ส่วนใบอนุโมทนาบัตรไม่เกี่ยวบางคนอาจจะมาขอเพื่อไปลดหย่อนภาษี ส่วนอีกวัดหนึ่งที่มีเงินเส้นเงินไป 199,000 กว่าบาท
นายษิทรา กล่าวต่อว่า เรื่องบัญชีคนที่จะตอบได้มีอยู่แค่ 3 คนในวัดคือ เจ้าอาวาส เลขาเจ้าอาวาส และไวยาวัจกร ที่จะรู้เรื่องเส้นเงินของวัด และไวยาวัจกรจะต้องดูแลภายในวันและเส้นเงินด้วย วัดใหญ่ๆจะมีไว้ยาวัจกรหลายประเภทดูแลเรื่องอื่นๆเช่นเรื่องที่ดิน ส่วนอีกวัดหนึ่งก็ขอให้สำนักสงฆ์ไปตรวจสอบด้วย ต้องไปดูที่บัญชีจะชัดเจน ถ้าทำใหม่ก็จะเห็นว่าเป็นเล่มใหม่หรือมีการลบชื่อออก ก็จะเห็นว่ามีการลบ
“ส่วนหลักฐานของตนที่ได้มาถ้าไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ฟ้องมาเลย แต่ที่ไม่ทำอะไรอยู่เฉย เพราะมันเป็นของจริง เขาก็พูดไปอย่างนั้นเพื่อดิสเครดิตว่าไม่ชอบ ใครจะกล้าเอาเอกสารผิดๆเอกสารที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายมาฟ้องร้องกับ ผบ. ตร.ไม่มีหรอก ที่บอกว่าไปดูทะเบียนราษฎร์ดำเนินคดีไปเลยใครไปแอบดูทะเบียน ผบ.ตร.ไม่ใช่คนของผมแน่นอน และตัวผมเองก็ถูกดูทะเบียนราษฎร์ปี 1 เป็น 10 ครั้ง ก็ไม่เห็นจะต้องวอแวใครอยากดูก็ดูไป มันก็แค่ชื่อนามสกุลที่อยู่ ผมเป็นบุคคลสาธารณะอยู่แล้วมันก็มีอยู่แค่นั้น ผบ.ตร.ก็เช่นกัน เขาก็รู้ชื่อที่อยู่เพราะเป็นบุคคลสาธารณะ แต่ถ้าคิดว่าคนเข้าไปดูเป็นการล่วงละเมิดสิทธิ์ผิดกฎหมาย ก็ดำเนินคดีไปเลยไม่เกี่ยวกับผม” นายษิทรา
นายษิทรา กล่าว่า ถ้าหากเคยติดตามจะพบว่านายอัจฉริยะ เคยโพสต์ทะเบียนราษฎร์ของคนนู้นคนนี้ ก็ถูกฟ้องดำเนินคดีในข้อหาทะเบียนราษฎร์มาแล้วหลายครั้ง ไม่ดูตัวเองอยู่ๆก็มาว่าคนนู้นคนนี้ ว่าไปดูทะเบียนราษฎร์คนนั้นคนนี้ เอ่ยไปลอยๆ เมื่อวานมาโกหกว่าฟ้องคดีกัน 26 คดีไม่มีหรอก ฟ้องตนมาแค่ 6 คดีและยกฟ้อง 6 คดีเท่านั้น มีแต่ตนฟ้องเขาหลายคดี ก็มีทั้งยกบ้างและตัดสินให้จำคุกเขาบ้างแต่รอลงอาญา พูดอะไรเหมารวมไปไม่เต็มปากเต็มคำ เพราะไม่ใช่ความจริง เรื่องนี้ถ้าตนไม่มาเปิดหลักฐานแบบนี้ เรื่องก็เงียบไม่มีการดำเนินคดีกับ ผบ.ตร. ทางทนายเขาเป็นคนมาท้าตนเองว่ามีหลักฐานชัดเจนทำไมถึงไม่ดำเนินคดี วันจันทร์นี้ตนจะไปดำเนินคดี ทั้งสามีและภรรยาร่วมกันฟอกเงิน และบัญชีม้าด้วยทั้งคชาชาญกับณัฐพงษ์
นายษิทรา กล่าวว่า ในวันที่ 31 มีนาคม ตนจะเข้าไปให้ข้อมูลกับตำรวจสอบสวนกลาง จากที่นัดหมาย วัดไม่ให้ข้อมูล ทุกคนปิดปากเงียบหมดไม่ว่าจะเป็นฆราวาสหรือพระ ก็คงถูกสั่งมา ว่าอย่าให้ข้อมูล แต่วัดต้องให้ข้อมูลกับสำนักพุทธเพราะเขามีอำนาจที่จะมาตรวจสอบ เข้าใจว่าสำนักพุทธลงมาตรวจสอบแล้ว หลังจากทำบุญตนก็รู้สึกสบายใจขึ้น ความหนักใจจะไปอยู่ที่อีกฝั่งหนึ่งแทนแล้ว
“เดี๋ยวผมจะโพสต์ให้ดูว่าเส้นเงินเข้ายังไง แล้วไปถึงได้อย่างไร เมื่อก่อนเดือนละ 159,000 บาท โอนจากบัญชีของณัฐพงษ์ทุกเดือน แล้วเป็นเดือนละแสน จนวันที่ 8 เดือน 3 ปี 2021 ลดลงมาเหลือ 59,000 บาท จนถึงเดือน 8 ปี 2566 รวมเป็นเงินมหาศาลที่ได้รับรายเดือน ที่มาจากบัญชีของการพนันออนไลน์บัญชีส่วย” นายษิทรา กล่าวทิ้งท้าย
ด้านกรมสอบสวนคดีพิเศษ ชี้ แจงโอนคดีฟอกเงินเครือข่ายเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ BNK Master โดยระบุว่า ด้วยปรากฏว่า เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2567 ได้มีผู้ร้องมายื่นเรื่องต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้พิจารณาโอนคดีอาญาของสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน คดีอาญาที่ 391/2567 ฐานฟอกเงิน , สมคมกันฟอกเงิน กรณีเครือข่ายเว็บพนันออนไลน์ BNK Master มาดำเนินการสืบสวนและสอบสวนตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 เนื่องจากเห็นว่ามีรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิด เป็นไปตามประกาศคณะกรรมการคดีพิเศษ (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2565 เรื่อง กำหนดรายละเอียดของลักษณะของการกระทำความผิดที่เป็นคดีพิเศษ ตามมาตรา 21 วรรคหนึ่ง (1) แห่งพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 ข้อ 4 ประกอบบัญชีท้ายประกาศ ฯ ข้อ 7 ซึ่งกำหนดว่าคดีความผิดที่มีบทกำหนดโทษตามมาตรา 60 และมาตรา 61 แห่งพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พ.ศ.2542 และที่แก้ไขเพิ่มเติม ที่มีความผิดมูลฐานเป็น คดีพิเศษซึ่งอยู่ในอำนาจหน้าที่ของพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ หรือคดีความผิดมูลฐานที่เป็นคดีอาญาอื่นที่มีมูลน่าเชื่อว่ามีทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดที่มีมูลค่าตั้งแต่สามร้อยล้านบาทขึ้นไป โดยกรมสอบสวนคดีพิเศษได้รับเรื่องไว้สืบสวนเป็นสำนวนสืบสวนที่ 37/2567 เพื่อพิจารณาว่าเข้าข่ายที่จะมีคำสั่งไว้ทำการสอบสวนเป็นคดีพิเศษได้หรือไม่ โดยสำนวนอยู่ในความรับผิดชอบของกองคดีฟอกเงินทางอาญา
จากการสืบสวนมีการแสวงหาข้อเท็จจริงจากผู้ร้อง รวมทั้งการมีหนังสือสอบถามไปยังพนักงานสอบสวนคดีอาญาที่ 391/2567 ของสถานีตำรวจนครบาลเตาปูน ปรากฏข้อโต้แย้งเกี่ยวกับความเชื่อมโยงคดีอาญาดังกล่าวกับคดีอาญากรณีเว็บพนันออนไลน์มินนี่ ที่พนักงานสอบสวนสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. ก่อนหน้านี้ และเนื่องจากพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 28 (2) ได้กำหนดหน้าที่และอำนาจในการไต่สวนของคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับเจ้าหน้าที่ของรัฐกระทำผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่ หรือกระทำความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ หรือความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ในการยุติธรรม และมาตรา 30 วรรคสอง กำหนดให้คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีอำนาจไต่สวนในคดีที่มีการกระทำอันเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท และคดีที่มีความเกี่ยวข้องกันและความผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะต้องดำเนินการในคราวเดียวกันด้วย
ซึ่งกรณีดังกล่าวกรมสอบสวนคดีพิเศษได้เคยมีหนังสือหารือไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เกี่ยวกับแนวปฏิบัติตามมาตรา 30 วรรคสอง แล้ว โดยสำนักงาน ป.ป.ช. ได้มีหนังสือที่ ปช 0026/0089 ลงวันที่ 22 ตุลาคม 2562 แจ้งว่าคณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติว่า คดีลักษณะใดเป็นคดีที่มีการกระทำความผิดเกี่ยวข้องกัน และความผิดเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่จะต้องดำเนินการในคราวเดียวกันนั้น คณะกรรมการ ป.ป.ช. จะพิจารณาวินิจฉัยตามข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้นเป็นรายกรณีไป ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นประเด็นสำคัญเกี่ยวกับอำนาจการสืบสวนและสอบสวนของกรมสอบสวนคดีพิเศษ ดังนั้น เมื่อกรมสอบสวนคดีพิเศษไม่มีข้อเท็จจริงในคดีอาญาหลักที่มีการกล่าวอ้างที่จะเป็นข้อมูลประกอบการวินิจฉัยและเมื่อพิจารณาประกอบหนังสือสำนักงาน ป.ป.ช. ข้างต้น คณะพนักงานสืบสวน จึงมีมติเสนออธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ให้ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการ ป.ป.ช. เพื่อพิจารณาพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มาตรา 30 วรรคสอง
ทั้งนี้ หากภายหลังคณะกรรมการ ป.ป.ช. พิจารณาแล้ว เห็นว่ามิใช่กรณีที่อยู่ในหน้าที่และอำนาจของคณะกรรมการ ป.ป.ช. กรมสอบสวนคดีพิเศษจะพิจารณาดำเนินการตามพระราชบัญญัติการสอบสวนคดีพิเศษ พ.ศ.2547 และที่แก้ไขเพิ่มเติมต่อไป
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี