เป็นอีกหนึ่งอุบัติภัยที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยรอบ กับเหตุโรงน้ำแข็งระเบิดในพื้นที่ ต.หนองปรือ อ.บางละมุง จ.ชลบุรี เมื่อช่วงดึกของคืนวันที่ 17 เม.ย. 2567 โดยการระเบิดนอกจากจะทำให้คนงานภายในโรงน้ำแข็งได้รับบาดเจ็บจากแรงระเบิดแล้ว ยังพบ “สารแอมโมเนียรั่วไหล” ออกมายังชุมชนโดยรอบ มีชาวบ้านสูดดมเข้าไปและได้รับบาดเจ็บอีกเป็นจำนวนมาก เบื้องต้นอยู่ระหว่างการตรวจสอบหาสาเหตุการระเบิดครั้งนี้
บทความ “แอมโมเนียกับอุตสาหกรรม” เขียนโดย โศรดา ขุนโหร นักวิทยาศาสตร์ชำานาญการพิเศษ กรมวิทยาศาสตร์บริการ ระบุว่า แอมโมเนียมีสถานะเป็นก๊าซ ไม่มีสี มีกลิ่นฉุนที่อุณหภูมิปกติ แอมโมเนียมีจุดเดือดที่ -33.35 องศาเซลเซียส จุดเยือกแข็งที่ -77.7 องศาเซลเซียส อุณหภูมิวิกฤติที่ 133 องศาเซลเซียส และติดไฟได้ที่อุณหภูมิ 648.89 องศาเซลเซียส ในสภาะวะความดันสูงและอุณหภูมิต่ำ แอมโนเนียจะมีสถานะเป็นของเหลว ขณะที่ก๊าซแอมโมเนียนั้นเบากว่าอากาศและสามารถละลายน้ำได้ดี เกิดเป็นสารละลายแอมโมเนีย ในที่ที่มีอากาศชื้นและมีก๊าซแอมโมเนียผสมอยู่ด้วยจะไม่ทำให้เหล็กสึกกร่อน แต่จะทำให้โลหะจำพวกทองแดง และโลหะผสมทองแดง เช่น ทองเหลือง สึกกร่อนได้ง่าย
แอมโมเนียถูกใช้ประโยชน์อย่างหลากหลาย เช่น การผลิตปุ๋ยเคมี , ทำสารเคมีอื่นๆ อาทิ แอมโมเนียมซัลเฟต โซเดียมไนเตรต ยูเรีย และ แอมโมเนียมฟอตเฟต , การผลิตวัตถุระเบิด , การกลั่นน้ำมัน โดยเป็นตัวทำละลายฤทธิ์ที่ติดอยู่ในน้ำมันซึ่งจะกัดกร่อนผิวอุปกรณ์ที่ทำด้วยเหล็ก , อุตสาหกรรมฟอกน้ำตาล ฟอกหนัง , ย้อมสีเส้นใย พิมพ์ผ้าฝ้าย , อุตสาหกรรมไฟเบอร์และพลาสติก , อุตสาหกรรมการผลิตยา เช่น ซัลฟามิลาไมต์ ซัลฟาไฮอะโซล ซัลฟาไพริดีน , อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม , อุตสาหกรรมกระดาษและเยื่อกระดาษ , ใช้เป็น Curing Agent ในอุตสาหกรรมหนัง ป้องกันการเกิดราใน Tanning Liquors , ใช้ในการผลิตผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด , ใช้ในการผลิตไนโตรเจนออกไซด์ , ใช้ในกระบวนการเคลือบผิวโลหะด้วยไฟฟ้า , ใช้เป็นสารทำความเย็นในโรงงานผลิตน้ำแข็ง ห้องเย็น และห้องแช่แข็ง
แม้จะมีประโยชน์ แต่แอมโมเนียก็ถือเป็นสารอันตรายด้วยเช่นกัน โดยหากหายใจเข้าไปโดยตรงที่่ความเข้มข้น 5,000-10,000 ส่วนต่ออากาศ 1 ล้านส่วน หรืออัตราผสมกับอากาศ 0.5-1% จะทำให้เกิดอาการหายใจติดขัด อาจเป็นอันตรายถึงขั้นเสียชีวิตได้ , กรณีกระเด็นเข้าตาจะเกิดอาการระคายเคืองแก้วตาอย่างรุนแรง เป็นอันตรายถึงขั้นตาบอด , กรณีสัมผัสผิวหนังโดยตรงเป็นระยะเวลาหนึ่ง จะทำให้ผิวหนังไหม้และเซลล์เนื้อเยื่อตายเพราะเย็นจัด , กรณีรับประทานเข้าไป จะกัดทำลายเยื่อบุภายในปากและระบบทางเดินอาหาร ส่งผลให้เกิดอาการปวดท้องรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียนและหมดสติ นอกจากนั้น สำหรับคนที่ทำงานในบรรยากาศที่มีแอมโมเนียผสมเป็นระยะเวลานาน และร่างกายได้รับก๊าซแอมโมเนียอยู่เสมอ จะทำให้เกิดอาการระคายเคืองเรื้อรังของตา จมูก และระบบทางเดินหายใจ
บทความ “ข้อควรระวังในการใช้ระบบทำความเย็นที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็น” โดยกรมโรงงานอุตสาหกรรม ระบุข้อปฏิบัติสำหรับโรงงานที่ใช้ระบบทำความเย็นที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็น ดังนี้ 1.ต้องจัดให้มีผู้ควบคุมระบบทำความเย็นที่มีความรู้ ความชำนาญ ในการควบคุมระบบโดยเฉพาะ ที่สามารถควบคุมหรือแก้ไขระบบทำความเย็นเมื่อเกิดกรณีมีการรั่วไหลของแอมโมเนียได้
2.วาล์วสกัดหลักต่างๆ ในระบบ วาล์วหลักแอมโมเนียเหลว วาล์วสกัดหลักท่อก๊าซร้อนเพื่อใช้ดีฟอร์สท์ วาล์วหลักปิดน้ำยาเหลวจากปั๊มแอมโมเนีย วาล์วตัดต่อปั๊มแอมโมเนีย ต้องอยู่ในที่เข้าถึงได้สะดวกและมีป้ายชื่อบอกชัดเจน เพื่อสะดวกในการปิดวาล์วสกัดกรณีเกิดการรั่วไหลของแอมโมเนีย 3.ถ้ามีช่องทางออกเพียงช่องทางเดียวจากห้องเครื่องไปยังบริเวณใช้งานอื่น ต้องไม่เดินท่อแอมโมเนียหรืออุปกรณ์ของระบบในช่องทางเดินนั้น และต้องไม่มีสิ่งกีดขวางในช่องทางเดิน 4.วาล์วถ่ายน้ำมันต้องเป็นแบบปล่อยปิด (Loaded Valve) 5.ต้องติดตั้งอุปกรณ์ตรวจจับไอแอมโมเนีย (Ammonia Detector) ที่ห้องเครื่อง และห้องปฏิบัติงานที่คนงาน อย่างน้อยห้องละ 1 ชุด
6.ต้องจัดหาอุปกรณ์ป้องกันอันตรายส่วนบุคคล ได้แก่ ถุงมือ หน้ากาก รองเท้า และชุดที่ใช้สำหรับป้องกันแอมโมเนีย
หรืออุปกรณ์อื่นที่จำเป็น เช่น เครื่องช่วยหายใจ รวมถึงอุปกรณ์ในการระงับอุบัติภัยที่เหมาะสม เก็บไว้ในที่สามารถหยิบใช้ได้อย่างสะดวกและต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน 7.ควรจัดหาระบบฉีดน้ำเป็นฝอยเพื่อใช้เป็นม่านน้ำป้องกันก๊าซแอมโมเนีย ไม่ให้แพร่กระจายเป็นอันตรายต่อคนที่อยู่ในบริเวณโดยรอบที่เกิดเหตุ และ 8.ควรจัดทำแผนฉุกเฉินแอมโมเนียรั่วไหล โดยแผนฉุกเฉินประกอบด้วยการระงับเหตุอย่างถูกต้องตามหลักวิชาการ การอพยพพนักงาน
การฟื้นฟูสภาพภายหลังเกิดเหตุ รายชื่อ เบอร์โทรศัพท์ของผู้ประสานงานหรือผู้เชี่ยวชาญ และให้มีการฝึกซ้อมแผนฉุกเฉินเป็นประจำอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
สำหรับการจัดการเมื่อเกิดแอมโมเนียรั่วไหล มีขั้นตอนดังนี้ 1.คนงานที่ได้รับการฝึกซ้อมแก้ปัญหาภาวะฉุกเฉินพร้อมอุปกรณ์ป้องกัน เช่น ชุดป้องกันสารเคมี หน้ากากป้องกันแอมโมเนีย แว่นตา ถุงมือ เป็นต้น อย่างน้อย 2 คน เข้าพื้นที่เพื่อหาจุดรั่วไหลและวิเคราะห์สถานการว่าจะหยุดเดินเครื่องได้หรือไม่ พร้อมปิดวาล์วสกัดน้ำยาหัวท้ายจุดที่เกิดการรั่วไหลเพื่อป้องกันการรั่วไหลเพิ่ม อีกทั้งฉีดน้ำเป็นฝอยคลุมพื้นที่เพื่อป้องกันการฟุ้งกระจายของก๊าซแอมโมเนีย หากจุดรั่วไหลไม่สามารถปิดวาล์วสกัดได้ให้ใช้กระสอบป่านคลุมแล้วใช้น้ำฉีดคลุม
ทำการอพยพบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องไปในพื้นที่ปลอดภัย (บริเวณเหนือลม) พร้อมแจ้งประสานหน่วยงานตอบโต้ภาวะฉุกเฉินในพื้นที่ แก้ไขต่อไป ตรวจสอบหาผู้ได้รับบาดเจ็บในบริเวณที่เกิดเหตุเพื่อทำการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และนำส่งโรงพยาบาลต่อไป และต้องระวังอย่าให้น้ำที่ใช้ฉีดคลุมก๊าซแอมโมเนียไหลลงแหล่งน้ำสาธารณะ โดยต้องมีบ่อกักเก็บน้ำดังกล่าวเพื่อบำบัดก่อนปล่อยลงแหล่งน้ำสาธารณะ
วันที่ 18 เม.ย. 2567 เพจเฟซบุ๊ก “กรมการแพทย์” เผยแพร่คำแนะนำของ นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กรณีประชาชนพบเหตุสารแอมโมเนียรั่วไหล ว่า 1.รีบนําผู้ประสบเหตุออกจากที่เกิดเหตุไปอยู่บริเวณเหนือลม และมีอากาศถ่ายเทสะดวกโดยเร็วที่สุด 2.ตรวจสอบการหายใจและการเต้นของหัวใจ 3. ถ้ายังหายใจ ให้คลายเสื้อผ้าให้หลวม ปลดเข็มขัดหรือเสื้อชั้นใน ถ้ามีเหงื่อออก ให้เช็ดตัว ถ้ารู้สึกตัวให้ดื่มนํ้าหรือเครื่องดื่มเย็นๆ ถ้าหายใจขัดควรให้ออกซิเจน แต่ถ้าหยุดหายใจต้องช่วยผายปอดจนกว่าจะหายใจสะดวก ห้ามใช้วิธีผายปอด ด้วยวิธีเป่าปาก
4.หากผู้ประสบเหตุหายใจเอาสารแอมโมเนียเข้าไป ให้ใช้อุปกรณ์ช่วยหายใจชนิด มีที่ครอบให้อากาศแบบวาล์วทางเดียว (One-way valve) หากการสัมผัสทางผิวหนัง ควรถอดเสื้อผ้าและเครื่องประดับออกให้หมด ล้างด้วยนํ้าให้มาก ๆ อย่างน้อย 15 นาที ล้างบริเวณที่สัมผัสถูกสารด้วยนํ้าที่ไหลผ่านจํานวนมากจนแน่ใจว่าออกหมด กรณีการรับสารทางปาก ให้ดื่มนํ้ามาก ๆ ห้ามทําให้อาเจียน ถ้าหมดสติ ควรจัดให้นอนหงายราบเอียงหน้าไปด้านใดด้านหนึ่งสังเกตการหายใจ และจับชีพจรที่คอ หรือขาหนีบ ถ้าหยุดหายใจต้องทําการปั้มหัวใจเพื่อช่วยชีวิต และรีบนําส่งโรงพยาบาลทันที
และหากสารเข้าดวงตา ควรตะแคงเอียงหน้าเอาคอนแทคเลนส์ออก (ถ้ามี) แล้วล้างตาด้วยนํ้าสะอาดจํานวนมากจากหัวตามาหางตาจนกว่า จะไม่เคืองตา ห้ามขยี้ตา ควรล้างนํ้าอย่างน้อย 30 นาที แล้วรีบนําส่งโรงพยาบาลทันทีเช่นกัน สำหรับวิธีการรักษา เป็นการรักษาตามอาการและไม่มียาต้านพิษเฉพาะ
-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/-/--//-/-
ข่าวที่เกี่ยวข้อง
https://www.naewna.com/local/799687 บาดเจ็บครึ่งร้อย! โรงน้ำแข็งระเบิด แอมโมเนียรั่ว เร่งลำเลียงคนส่ง รพ.
https://www.naewna.com/local/799695 ยอดพุ่ง 100 ราย! โรงน้ำแข็งระเบิด ตั้งศูนย์ช่วยเหลือ ปชช. ที่ได้รับผลกระทบ
https://www.naewna.com/local/799756 ปิดด่วน!‘โรงน้ำแข็ง’ชลบุรี หลังเกิดเหตุสารแอมโมเนียรั่ว
อ้างอิง
http://lib3.dss.go.th/fulltext/dss_j/2544_49_157_p11-13.pdf แอมโมเนียกับอุตสาหกรรม : โศรดา ขุนโหร , กรมวิทยาศาสตร์บริการ
http://reg3.diw.go.th/safety/wp-contenthttps://static.naewna.com/uploads/2015/04/ICE-2558-V3.pdf ข้อควรระวังในการใช้ระบบทำความเย็นที่ใช้แอมโมเนียเป็นสารทำความเย็น : กรมโรงงานอุตสาหกรรม
https://www.facebook.com/photo/?fbid=763931885922878&set=a.247529827563089
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี