‘อนุทิน’ลุยชัยภูมิ เปิดพื้นที่ตาบอดสู่ทำเลทอง เริ่ม 3 จว. ตั้งเป้าทั้งประเทศจังหวัดละแห่ง
25 เมษายน 2567 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย พร้อมคณะหน่วยงานที่เกี่ยวข้องร่วมเป็นประธาน ในพิธีเปิดถนนโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ในบริเวณเขตเทศบาลเมืองชัยภูมิ อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ โดยมี นายพงศ์รัตน์ ภิรมย์รัตน์ อธิบดีกรมโยธาธิการและผังเมือง พร้อมหน่วยงานเกี่ยวข้อง นายอนันต์ นาคนิยม ผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ รองผู้ว่าราชการจังหวัดชัยภูมิ ผู้บริหารทุกภาคส่วน ผู้นำท้องถิ่น และประชาชน เข้าร่วมความสำเร็จ ณ บริเวณพื้นที่โครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณเทศบาลเมืองชัยภูมิ อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ จำนวนมากกว่า 200 คน
สำหรับโครงการจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่บริเวณเทศบาลเมืองชัยภูมิ อำเภอเมืองชัยภูมิ จังหวัดชัยภูมิ มีพื้นที่โครงการ 120-0-94.41 ไร่ แปลงที่ดิน 42 แปลง เจ้าของที่ดิน 30 ราย โดยกรมโยธาธิการและผังเมืองจัดสรรงบประมาณ 27.54 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างถนนตามผังเมืองรวมชัยภูมิสาย ข4 ขนาดเขตทาง 16 เมตร ระยะทาง 655 เมตร เชื่อมระหว่างทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 225 (ถนนชัยภูมิ- บ้านเขว้า) กับทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 201 (ถนนชัยภูมิ-สีคิ้ว) ส่วนการก่อสร้างถนนสายรอง ขนาดเขตทาง 12 เมตร จำนวน 3 สาย ความยาวรวม 1,140 เมตร และองค์ประกอบอื่นๆ ในโครงการอีก 29.075 ล้านบาท หรือราว 51.4% ของค่าใช้จ่ายการพัฒนาโครงการฯ มาจากการจำหน่ายที่ดินจัดหาประโยชน์ของโครงการ ที่เจ้าของที่ดินผู้ร่วมโครงการ สละให้เพิ่มจากที่ดินที่ใช้สร้างถนนเพื่อนำมาพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในโครงการให้แล้วเสร็จสมบูรณ์
โครงการฯ ได้กู้ยืมเงินจากกองทุนจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ 20.805 ล้านบาท เพื่อการพัฒนาโครงการฯ ภายหลังการดำเนินโครงการฯ ส่งผลให้รัฐได้พื้นที่สาธารณะเพิ่มขึ้นจากเดิมจำนวน 11-2-43.74 ไร่ จากการปันส่วนที่ดินของผู้เข้าร่วมโครงการ และมีพื้นที่โครงการจะยกให้สถาบันการศึกษา 0-2-36.77 ไร่ เพื่อสนับสนุนการศึกษาของคนในพื้นที่ ถือเป็นก้าวแห่งความสำเร็จในการพัฒนาเมืองแบบราษฎร์-รัฐ ร่วมพัฒนา เปลี่ยนแปลงเมืองชัยภูมิ สู่คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น Change for Good ในครั้งนี้เป็นจุดเริ่มต้นแห่งแรกขึ้นได้ และคาดว่าจะมีอีกหลายพื้นที่ตามมาอีกมากขึ้น
นายอนุทิน กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย ได้ขับเคลื่อนภารกิจมุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ ให้ได้รับการพัฒนา มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น การจัดรูปที่ดินหรือ Land Readjustment ถือเป็นแนวทางที่มีความ “ทันโลก ทันสมัย และทันท่วงที” ตอบโจทย์ “การพัฒนาเมืองสมัยใหม่” ที่จะเพิ่มคุณภาพชีวิตให้กับประชาชนด้วยแนวทางการมีส่วนร่วมจากคนในชุมชน เปิดโอกาสให้เจ้าของที่ดิน มาออกแบบและวางแผนร่วมกัน โดยมี “ภาครัฐ” เป็นผู้บริหารจัดการ การจัดรูปที่ดิน ถ้าจะเปรียบก็เหมือน “การจัดบ้านใหม่” โดยชวนทุกคนมาร่วมด้วยช่วยกัน จัดให้เกิดความสะดวกมากขึ้น ให้คนในบ้านใช้ประโยชน์ได้ดีขึ้น โดยจะเป็นการเปิดพื้นที่ตาบอด ซึ่งไม่มีถนน ไฟฟ้า ประปา ให้สามารถใช้ประโยชน์ได้ด้วยความร่วมมือของทุกฝ่าย โดยเฉพาะเจ้าของที่ดินที่ต้องการมา “ลงขัน” ในรูปของการปันที่ดิน และรับประโยชน์ร่วมกัน ที่สุดแล้วก็จะเป็นการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชนในพื้นที่ เป็นโครงการที่ทำได้เร็วและทำได้เลย เป็นโครงการที่กระทรวงมหาดไทยมุ่งมั่นตั้งใจทำเพื่อ “บำบัดทุกข์ บำรุงสุข” ให้กับพี่น้องประชาชนและหวังให้เกิดการขยายผลทุกจังหวัด เพื่อให้ประชาชนมีความสุขเพิ่มมากขึ้นจากการทำงานร่วมกันระหว่างประชาชนกับรัฐ ได้มากขึ้น
นายอนุทิน กล่าวอีกว่า ทั้งประเทศเริ่มโครงการแล้ว 3 จังหวัด เริ่มที่จังหวัดชัยภูมิเป็นแห่งแรก และจังหวัดภูเก็ต เพื่อแก้ไขปัญหาการขาดแคลนโครงสร้างพื้นฐาน บรรเทาความเดือดร้อนจากการใช้ประโยชน์ที่ดินให้กับพี่น้องประชาชน มีนโยบายให้ทุกจังหวัดดำเนินโครงการก่อสร้างถนนตามผังเมืองรวมด้วยวิธีการจัดรูปที่ดินฯ อย่างน้อยจังหวัดละ 1 โครงการ คิดเป็นจำนวนแปลงที่ดินที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น 5,816 แปลง มูลค่าที่ดินเพิ่มขึ้นเป็นเงินกว่า 50,039 ล้านบาท ถนนได้รับการพัฒนาเป็นระยะทาง 217 กิโลเมตร ซึ่งทำให้รัฐประหยัดงบประมาณค่าเวนคืนที่ดินได้มากกว่า 2,772 ล้านบาท
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี