"สภาทนายความ"จ่อลงพื้นที่ระยอง ช่วยผู้ประสบภัยโรงงานไฟไหม้ ประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องสั่งตรวจสุขภาพประชาชน 100% ป้องกันปัญหาสุขภาพระยะยาว และให้คำปรึกษาเรียกค่าเสียหาย ส่วนชาวบ้านหลายจังหวัดที่ได้รับความเดือดร้อนจากปัญหา"ปลาหมอคางดำ" ร้องสภาทนายความ ช่วยแก้ปัญหา
เมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2567 ที่สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมภ์ ถนนพหลโยธิน ดร.วิเชียร ชุบไธสง นายกสภาทนายความฯ เปิดเผยถึงมาตรการช่วยเหลือเยียวยาประชาชนที่ได้รับผกระทบจากเหตุไฟไหม้ถังเก็บสารเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด จ.ระยอง ว่า เบื้องต้นวันที่ 13 พฤษภาคมนี้ ตนเตรียมส่งอุปนายกและทีมสภาทนายความลงพื้นที่รับเรื่องร้องทุกข์จากประชาชนที่ได้รับผลกระทบว่าจะสามารถช่วยเหลือได้ในด้านใดบ้าง เพราะเห็นได้ชัดว่าเหตุไฟไหม้ดังกล่าวส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยเฉพาะเรื่องปัญหาสุขภาพ และความเสียหายทั้งทางร่างกาย ชีวิต และทรัพย์สิน ตลอดจนสิ่งแวดล้อม
ดร.วิเชียร เปิดเผยว่า ปัญหาสุขภาพของประชาชนที่อยู่ในพื้นที่โรงงานและรัศมีโดยรอบจุดเกิดเหตุ เป็นสิ่งที่น่ากังวล คือ ประเภทสารเคมีว่าเป็นเคมีชนิดใดบ้างและส่งผลกระทบต่อประชาชนหรือสิ่งแวดล้อมอย่างไร เพราะอาจจะที่มีผลกับสุขภาพของประชาชนในระยะยาว ดังนั้นจะแนะนำให้ประชาชนทั้งหมดไปตรวจสุขภาพตั้งแต่เนิ่นๆ รวมทั้งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปดูแลสุขภาพประชาชน แม้จะยังไม่แสดงอาการผิดปกติใดๆ แต่ก็ต้องให้ประชาชนตรวจสุขภาพ 100% ในรัศมีที่กำหนดตามการแพร่กระจายของสารเคมีที่ปล่อยออกมา ไม่ใช่การสุ่มตรวจ เพื่อที่หากในอนาคตเกิดปัญหาสุขภาพที่ยืนยันได้ชัดเจนว่าเกิดจากเหตุไฟไหม้ดังกล่าว ข้อมูลในครั้งนี้ที่เก็บไว้ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานในการฟ้องร้องแบบกลุ่มเรียกค่าเสียหายได้ภายหลัง แม้จะผ่านไป 10 - 20 ปี ก็ตาม
สำหรับค่าเสียหายเบื้องต้นที่ประชาชนสามารถเรียกร้องได้ มีทั้งค่ารักษาพยาบาล ค่าเยียวยาที่เกิดจากปัญหาสุขภาพ ค่าสูญเสียรายได้จากการขาดงานหรือไม่สามารถทำงานได้ หรือแม้แต่ค่าเช่าบ้านจากการที่ไม่สามารถพักอาศัยที่บ้านได้ อย่างไรก็ตามแม้ทางบริษัทที่เกิดเหตุไฟไหม้จะเยียวยาให้ประชาชนในเบื้องต้นแล้ว แต่หากประชาชนยังไม่พอใจ หรือเยียวยาไม่เพียงพอ ก็ยังคงมีสิทธิ์ฟ้องร้องได้ เว้นแต่จะได้ค่าชดเชยที่พอใจแล้วและไม่ประสงค์จะฟ้องร้องอีก
นายกสภาทนายความยังยืนยันด้วยว่าที่ผ่านมาสภาทนายความฯได้ฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายให้ประชาชนในคดีที่เกิดผลกระทบเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมและสารเคมีมาแล้วหลายคดี เช่น คดีน้ำมั่นรั่วลงทะเลที่ จ.ระยอง , คดีลักลอบเก็บกากแคดเมียมที่ จ.ตาก , คดีโรงงานปล่อยน้ำเสีย และคดีบ่อขยะ ซึ่งสภาทนายความชนะคดี จนผู้กระทำผิดต้องชดใช้ค่าเสียหายให้กับชาวบ้านที่ได้รับความเสียหายทั้งหมด
วันเดียวกันนี้มีตัวแทน 14 เครือข่ายจาก จ.เพชรบุรี สมุทรสาคร สมุทรสงคราม ซึ่งเป็นผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาปลาหมอคางดำ เดินทางมายื่นหนังสือ สภาทนายความฯ เพื่อร้องเรียนและยกระดับการแก้ไขผลกระทบจากปลาหมอคางดำระบาดในพื้นที่ โดยเร่งรัดให้รัฐบาลแก้ไขปัญหาอย่างเร่งด่วนและฟ้องเรียกค่าเสียหายกับหน่วยงานราชการที่เกี่ยวข้องและบริษัทเอกชนที่นำพันธุ์ปลาเข้ามาให้แก่ผู้ได้รับผลกระทบดังกล่าว
ดร.วิเชียร เปิดเผยว่า ปลาหมอคางดำ เป็นปลาที่มาจากประเทศกาน่า สามารถอยู่ได้ทั้งน้ำจืดน้ำกร่อย และน้ำเค็ม กินลูกปลา ลูกกุ้ง หอย กินหมด ทำลายปลาท้องถิ่น และระบบนิเวศ ชาวบ้านได้รับผลกระทบอย่างมาก โดยจุดเริ่มต้นมาจาก บริษัทยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่ง นําเข้ามาเพื่อมาทําการวิจัยทําการทดลองพัฒนาสายพันธุ์ปลาทับทิม แต่ไม่เป็นผล จากนั้นอ้างว่านําไปทําลายแต่มีข้อมูลว่า กรมประมงไม่ได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปดูแล ชาวบ้านก็สงสัยว่ามันมีการเล็ดลอด หรือจงใจปล่อยทําให้เกิดการแพร่พันธุ์ ขยายพันธุ์ ทำให้ชาวบ้านเสียรายได้จากการเลี้ยงและจับ สัตว์น้ำ ปลาหรือกุ้ง มานานกว่า 18 ปี โดยประชาชนไม่ได้รับการช่วยเหลือ หรือเยียวยาใดๆ
โดยสภาทนายความจะจัดตั้งคณะทำงานลงตรวจพื้นที่และข้อเท็จจริง เพื่อหาคนมารับผิดชอบกรณีต้นเหตุการนำเข้าปลาหมอคางดำ และการทำลายปลาหมอคางดำว่าเหตุใดจึงมีการแพร่กระจายพันธ์ุได้ จากนั้นจะฟ้องร้องเพื่อหาค่าชดใช้เยียวยาให้ประชาชนที่เดือดร้อน
ด้าน นายสัญญาภัชระ สามารถ อุปนายกฝ่ายปฏิบัติการฯ กล่าวว่า เรื่องนี้มีการหารือกันมาก่อนที่จะมีชาวบ้านเข้ามาร้องเรียน และสภาทนายความฯได้รับการแต่งตั้งให้เป็นตัวแทนร่วมแก้ไขปัญหากับภาครัฐในเรื่องนี้ ซึ่งต้องมีคนรับผิดชอบและรีบแก้ไขให้เร็วที่สุดก่อนที่ปลาหมอคางดำจะขยายพันธ์ุไปสู่ประเทศเพื่อนบ้านและแถบเอเชีย จนเกิดเป็นปัญหาระดับชาติที่ประเทศไทยเป็นจุดเริ่ม
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับผู้ได้รับกระทบจากปัญหาดังกล่าว ประกอบด้วย 1.กลุ่มประมงชายฝั่งบางตะบูน อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี 2.กลุ่มรักหาดเจ้า อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี 3.กลุ่มรักอ่าวไทย อ.บ้านแหลม จ.เพชรบุรี 4.กลุ่มผู้เพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต.ยี่สาร จ.สมุทรสงคราม 5.กลุ่มเครือข่ายเพาะเลี้ยงคลองโคน จ.สมุทรสงคราม 6.เครือข่ายประมงพื้นบ้านบางแก้ว จ.สมุทรสงคราม 7.เครือข่ายเพาะเลี้ยงหอยแมลงภู่ จ.สมุทรสงคราม 8.เครือข่ายผู้เลี้ยงปลากระชัง จ.สมุทรสงคราม 9.เครือข่ายสภาองค์กรของผู้บริโภค 10.กลุ่มผู้ใช้น้ำตำบลแพรกหนามแดง 11.กลุ่มผู้เพาะเลี้ยงหอยทะเลตำบลบางกระเจ้าสมุทรสาคร 12.กลุ่มอนุรักษ์มหาชัยฝั่งตะวันออกสมุทรสาคร 13.กลุ่มธนาคารปูม้า ต.พันท้ายนรสิงห์ อ.เมือง จ.สมุทรสาคร 14.เครือข่ายรักษ์ทะเลกรุงเทพและสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร
นายวิเชียร กล่าวต่ออีกว่า วันนี้ยังมีเครือข่ายชุมชนการบริหารจัดการชายฝั่งธรรมชาติป่าชายเลน จ.สมุทรสงคราม ขอความช่วยเหลือสภาทนาย ให้ตรวจสอบ การออกโฉนดให้ บริษัทเอกชน ได้ครอบครองพื้นที่ป่าชายเลนขนาดใหญ่ ต.บางแก้ว จ.สมุทรสงคราม ว่าชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ เพราะมองว่าเป็นการบุกรุกป่าชายเลนรุกล้ำพื้นที่สาธารณะประโยชน์ของแผ่นดิน โดยเครือข่ายชุมชนในการบริหารจัดการชายฝั่ง ที่รับผิดชอบดูแลอยู่ และได้ขึ้นทะเบียนเครือข่ายชุมชนชายฝั่งต่อกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง ประมาณ ปี พ.ศ.2551 ปัจจุบันพื้นที่ป่าชายเลนของ จ.สมุทรสงคราม ที่เหลืออยู่จำนวนน้อย การมีป่าชายเลน จะป้องกันคลื่นเข้ากัดเซาะชายฝั่งและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ อยากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบ เพื่อให้ทางราชการประกาศเป็นป่าชายเลนอนุรักษ์ถูกต้องตามกฎหมายต่อไป โดยทางสภาทนายฯจะรับดำเนินการช่วยโดยเร็วที่สุด
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี