สธ.รื้อกฎกระทรวงถือครองยาบ้า
เม็ดเดียวก็ผิด!
ถือเป็นผู้เสพมีสิทธิติดคุก
จะเข้าบำบัดต้องชี้เป้าคนขาย
ลุยยึดทรัพย์-ตั้งรางวัลนำจับ5%
“สมศักดิ์”นั่งหัวโต๊ะเคาะลดปริมาณยาบ้าเหลือ 1 เม็ด–สารบริสุทธิ์ 20 มก.ผู้เสพมีความผิดมีสิทธิติดคุกถูกยึดทรัพย์ได้ ถ้าต้องการบำบัดต้องชี้เป้าคนขาย โดยผุดไอเดีย “1 ผู้เสพ ขยายผล 1 ผู้ขาย และขยายต่อเป็น 1 ผู้ผลิต”
หวังตามยึดทรัพย์ ใครแจ้งเบาะแสรับรางวัลนำจับ 5% เปิดรับฟังความเห็นผ่านเว็บไซต์ สธ. 15 วัน ก่อนชง ครม.พิจารณาต่อ ส่วนปมดึงกัญชากลับบัญชียาเสพติด “อนุทิน”ลั่นจุดยืนภท.เหมือนเดิม ดันต่อเนื่องร่างพ.ร.บ.กัญชาฯ คุมใช้ทางการแพทย์ ชี้“เห็นผมยิ้มๆใครบอกผมยอม!” ถามตรงดึง‘กัญชา’ กลับ ‘ยาเสพติด’ จะเยียวยาผู้ประกอบการกว่าหมื่นล้านไหวหรือ ยัน ‘ภูมิใจไทย’ ทำตามที่พูดแล้ว
เมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม 2567 ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (รมว.สธ.) เป็นประธานการประชุมทบทวนกฎกระทรวงกำหนดปริมาณยาเสพติดให้โทษและวัตถุออกฤทธิ์ที่ให้สันนิษฐานว่ามีไว้ในครอบครองเพื่อเสพ พ.ศ. 2567
สมศักดิ์นั่งหัวโต๊ะถกลดยาบ้าเหลือ1เม็ด
นายสมศักดิ์กล่าวว่า หลังจากนายกรัฐมนตรีมอบหมายกระทรวงสาธารณสุขแก้ไขกฎกระทรวงฯ ดังกล่าว โดยปรับลดยาบ้าให้เหลือ 1 เม็ด เป็นหลักให้ผู้ปฏิบัติงานและสอดคล้องกับเจตนารมณ์ที่แท้จริงของกฎหมาย และสื่อสารกับประชาชนได้ชัดเจนว่ายาเสพติดมีกี่เม็ดก็ผิด หากมีหนึ่งเม็ดต้องพิสูจน์ให้ได้ว่าเป็นผู้เสพ มิฉะนั้นจะถูกแจ้งข้อหาครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต พร้อมรายงานความคืบหน้าภายใน 90 วัน กระทรวงสาธารณสุขจึงตั้งคณะทำงานทบทวนกฎกระทรวงฯ ซึ่งประเมินแล้วพบว่าส่งผลกระทบทั้งด้านสังคม กฎหมาย และการแพทย์
“จึงมีมติเสนอให้แก้ไขกฎกระทรวงฯ เป็นฉบับที่ 2 เฉพาะปริมาณแอมเฟตามีนและเมทแอมเฟตามีน โดยกำหนดแอมเฟตามีน มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม และเมทแอมเฟตามีน มีปริมาณไม่เกิน 1 หน่วยการใช้ หรือมีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 100 มิลลิกรัม หรือในกรณีที่เป็นเกล็ด ผง ผลึก มีน้ำหนักสุทธิไม่เกิน 20 มิลลิกรัม พร้อมเชิญหน่วยงานที่เกี่ยวข้องประชุมทบทวนกฎกระทรวงฯวันนี้”นายสมศักดิ์กล่าว
สธ.เปิดรับฟังความเห็นถึง4มิ.ย.
และว่า ที่ประชุมได้มีมติให้นำร่างกฎกระทรวงฯ ฉบับใหม่ รับฟังความเห็นประชาชน หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน องค์กรอิสระ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่นๆ ผ่านเว็บไซต์กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานเลขานุการคณะกรรมการบำบัดรักษาและฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติด กระทรวงสาธารณสุข, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา, กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ และเว็บไซต์ระบบกลางทางกฎหมาย ตั้งแต่วันนี้-4 มิถุนายน เพื่อนำผลที่ได้มาประกอบการพิจารณาเสนอร่างกฎกระทรวง ตามกระบวนการและขั้นตอนการเสนอร่างกฎหมายต่อไป คาดว่าจะแล้วเสร็จสามารถประกาศลงราชกิจจานุเบกษาได้ภายในเดือนกรกฎาคม
ย้ำมติลดยาบ้า1เม็ดสารบริสุทธิ์20มก.
นายสมศักดิ์ให้สัมภาษณ์หลังประชุมถึงเหตุผลในการใช้พิจารณากำหนดปริมาณยาบ้า 1 เม็ดว่า
การประชุมวันนี้กำหนดเส้นแบ่งการทำคดียาเสพติด เพื่อให้ดำเนินการง่าย โดยมีมติปรับลดปริมาณยาบ้าที่สันนิษฐานเป็นผู้เสพเหลือ 1 เม็ด และสารบริสุทธิไม่เกิน 20 มิลลิกรัม แต่ขอเน้นย้ำว่า ยาบ้า 1 เม็ด ก็มีความผิด เพราะต้องพิสูจน์ต่อด้วยว่า เป็นผู้เสพ หรือ ผู้ขาย หากเป็นผู้เสพก็ต้องเข้ารับการบำบัด พร้อมต้องขยายผลตามแนวนโยบาย “1 ผู้เสพ ขยายผล 1 ผู้ขาย และขยายต่อเป็น 1 ผู้ผลิต”
ชี้มี1เม็ดผิดมีสิทธิติดคุกยึดทรัพย์
“ดังนั้น มียาบ้า 1 เม็ด ก็ต้องถูกขยายผล นำไปสู่การยึดอายัดทรัพย์ ซึ่งขณะนี้ เรามีผู้แทนแต่ละกระทรวง ที่อยู่ตามชุมชน ช่วยเป็นหูเป็นตา หากใครแจ้งเบาะแสก่อน ก็รับรางวัลนำจับ 5% ทั้งนี้ เหตุผลหลักในการปรับเหลือ 1 เม็ดคือ ประชาชนสะท้อนสิ่งที่เสียหายมาเป็นจำนวนมาก พร้อมพิจารณาสถิติการจับกุมที่สูงขึ้น จึงปรับลดเหลือ 1 เม็ด แต่ก็มีความผิด ต้องถูกสอบสวนขยายผลให้ได้ผู้ขาย และผู้ผลิตต่อไป จากนี้จะรับฟังความคิดเห็น 15 วัน หากเห็นตรงกัน จะเสนอหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก่อนเสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาต่อไป”นายสมศักดิ์กล่าว
และย้ำว่า การลดลงเหลือ 1 เม็ด จะทำให้ได้ผลในการดำเนินคดี ส่วนเรื่องการบำบัดรักษา หากคนที่ถูกจับกุมยาบ้า 1 เม็ด แล้วสมัครใจเข้ารับบำบัดหรือ ขอเข้าบำบัด เราก็มองว่า เป็นการเอาเปรียบประเทศ เอาเปรียบราชการเกินไป แต่เมื่อถูกจับแล้วต้องบอกให้ได้ว่า ซื้อยานี้มาจากที่ไหน ไม่ว่าจะเป็นรายเล็ก รายใหญ่ก็ต้องเข้าสู่กระบวนการถูกยึดทรัพย์ ยืนยันว่า ครอบครอง 1 เม็ด ก็มีสิทธิถูกจำคุกได้
ถ้าจะบำบัดต้องชี้เป้าคนขาย
ผู้สื่อข่าวถามว่า หมายความว่า จากนี้จับผู้ครอบครอง 1 เม็ดได้ จะไม่สันนิษฐานว่าเป็นผู้เสพแล้วใช่หรือไม่ แต่ให้จับมาดำเนินคดีก่อนแล้วค่อยแยกทีหลัง นายสมศักดิ์กล่าวว่า เราจับ 1 เม็ด ก็ต้องดูพฤติกรรมว่า เป็นผู้เสพหรือไม่ หากผลสอบไม่ใช่ผู้เสพ ต้องงถูกดำเนินคดี แล้วหากตรวจสอบพบว่า เป็นผู้เสพก็ต้องสอบสวนทวนความว่า ซื้อมาจากไหน ก็จะได้ผู้ขายตามมาจากการบอกของผู้เสพ
ถามว่า ใครเป็นคนคัดแยกว่า คนที่ครอบครอง 1 เม็ด เป็นผู้เสพที่ต้องเข้ารับการบำบัด หรือผู้ขาย นายสมศักดิ์กล่าวว่า ก็ยึดหลักการเดิม แต่การลดลงเหลือ 1 เม็ด ทำให้ง่ายต่อการคัดกรอง ผู้ขายจะพกพาไม่เกิน 5 เม็ด แต่พอถูกจับกลับบอกว่า เป็นผู้เสพ เขาสมัครใจเข้าบำบัด ทำให้เราทำอะไรไม่ได้ แต่เมื่อเราลดเหลือ 1 เม็ด อยากจะพกไปขาย และตรวจสอบพบว่าไม่ใช่ผู้เสพจริง ก็ต้องถูกดำเนินคดี
พร้อมรับฟังความเห็นผ่านเว็บ
เมื่อถามว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเป็นห่วงว่าปรับเหลือ 1 เม็ด เป็นการละเมิดสิทธิ และกังวลว่า จะซ้ำรอยช่วงประกาศสงครามยาบ้า ยุครัฐบาลนายทักษิณ ชินวัตร นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ขอให้เสนอแนะความคิดเห็นมาทางเว็บไซต์ ตนไม่วิพากษ์วิจารณ์ เพราะตอนนี้ผ่านขั้นตอนดำเนินการทำให้กฎหมายรองเกิดขึ้นแล้ว เรื่องลดปริมาณยาบ้า 1 เม็ด ก็ไปวิพากษ์วิจารณ์กันในเว็บ ซึ่งตนพร้อมรับฟังความเห็น รวบรวมว่า มีกี่ประเด็น คงไม่มีประเด็นเป็นร้อยๆ คงมีเห็นด้วย ไม่เห็นด้วย
ชี้ยาบ้าเกลื่อนคนเสพพุ่งปชช.เดือดร้อน
นายสมศักดิ์กล่าวด้วยว่า การเสนอปริมาณยาบ้า 1 เม็ดรอบนี้ เหตุผลที่ต่างจากการเสนอครั้งก่อนตรงเรื่องของบรรยากาศ ดูประชาชนสิ เพราะว่า เดิมอาจมีคนเสพน้อย แต่ระยะหลังมีคนเสพมาก ซึ่งได้เห็นข้อมูลที่เกิดขึ้น พบว่า มีจำนวนคนเสพ ถูกจับ ดำเนินคดี เข้าบำบัดจำนวนมาก เมื่อก่อนยังไม่มาก ยาบ้ากินไปนานๆ มันก็บ้า และรุนแรงขึ้น
“สถานการณ์เปลี่ยน ยืนยันว่า เมื่อก่อนไม่ได้ผิดพลาด ยังเคยมีการเสนอ 15 เม็ด บางคนบอกยุคนี้ยาบ้ามันถูก โรงงานก็เยอะ ราคาไม่แพง เม็ดละ 50 สตางค์ เสพง่าย ต้องยอมรับว่า สถานการณ์ปัจจุบัน เปลี่ยนจากเดิม คนติดยาบ้ามีจำนวนมาก มีผู้ป่วยจิตเวชเพิ่มขึ้น ต้องหาทางป้องกัน และปราบปราม ต้องหยุดให้ได้ และประชาชนต้องช่วยกันแจ้งเบาะแส” นายสมศักดิ์ กล่าว
อนุทินห่วงดึงกลับกระทบผู้ประกอบการ
อีกด้าน มีความเห็นกรณีที่รัฐบาลโดยนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีนโยบายจะนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดอีกครั้ง
โดยนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.มหาดไทย ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย(ภท.)ให้สัมภาษณ์เรื่องนี้ว่าเป็นคำสั่งล่าสุดของนายกฯวันนี้เป็นความรับผิดชอบของกระทรวงสาธารณสุข ซึ่งรมว.สาธารณสุขแต่ละคนมีนโยบายแต่ละคนได้ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่ต้องดูว่าตอนนี้ไปถึงไหน
นายอนุทินกล่าวต่อว่า หลังปลดล็อกออกจากยาเสพติด ถ้าถอยกลับไปจะมีข้อดีข้อเสียอย่างไร อย่างผู้ประกอบการกัญชา กัญชงที่ลงทุนไปแล้ว จะเยียวยาเขาไหวหรือไม่ เพราะตนคาดการณ์จากจำนวนเม็ดเงินที่ลงทุนไปก็นับหมื่นล้านบาท ยังไม่รวมร้านค้าที่จำหน่ายผลิตภัณฑ์จากกัญชา เราต้องไปดูส่วนนั้น ดูข้อมูลจากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ที่ใช้พิจารณาปลดล็อกว่าต่างกับข้อมูลในปัจจุบันอย่างไร สิ่งเหล่านี้ต้องหารือและมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ภท.ย้ำจุดยืนพรบ.กัญชาเสรีเหมือนเดิม
นายอนุทินยังย้ำว่า จุดยืนพรรคภูมิใจไทยต่อนโยบายกัญชา ยืนยันขอให้เป็นไปตามที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อที่ประชุมรัฐสภา ไปอ่านดูว่าหน้าไหน วรรคไหน เขียนไว้ชัดเจน ทั้งนี้ อะไรที่เป็นนโยบายรัฐบาล ก็ต้องปฏิบัติตาม ถ้าไม่ปฏิบัติก็ต้องไปชี้แจงให้ได้ ทั้งนี้ พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.) เป็นอีกคำตอบของการควบคุมการใช้กัญชา ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเสนอไปเมื่อสมัยรัฐบาลที่แล้ว แต่ถูกหักหลังโดยพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง มาสมัยรัฐบาลนี้ พรรคก็ได้เสนอร่าง พ.ร.บ.ฯอีกครั้ง ก็ว่ากันไปตามนั้น
ถามย้ำว่า หากกัญชาถูกกลับไปเป็นยาเสพติดเช่นเดิม ถือเป็นครั้งแรกที่พรรคภูมิใจไทยพูดแล้วทำไม่ได้หรือไม่ นายอนุทินกล่าวว่า ทำไปแล้ว พูดแล้วเมื่อปี 2562 ทำแล้วเมื่อปี 2564 2565 2566 ภูมิใจไทยทำทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่พูดแล้วไม่ทำตามที่คนพยายามจะพูด ทำแล้วแต่มีความพยายามของคนที่จะเอากลับไปเป็นยาเสพติดอีก อันนั้นไม่ใช่พรรคภูมิใจไทย และเราก็แสดงจุดยืนแล้ว
“เห็นผมยิ้มใครบอกว่า ผมยอม”
“อย่าไปบอกว่าผมหงอ ผมแหยง ผมยอม ไม่เกี่ยวกับเรื่องยอมไม่ยอม แต่เกี่ยวกับประโยชน์ของประชาชน เป็นนักการเมืองเรื่องส่วนตัวต้องไม่เป็นปัจจัยพิจารณากำหนดนโยบาย” นายอนุทิน กล่าวว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่าหลายฝ่ายวิเคราะห์ท่าทีหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ที่ผลักดันนโยบายกัญชาว่าเทนโยบายแล้ว นายอนุทินกล่าวว่า ตนจะยอมหรือไม่ได้อย่างไร ทุกอย่างขึ้นกับมติของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) ซึ่งพรรคภูมิใจไทยเชื่อ มีหลักระดับหนึ่งถึงเวลาไปประชุม ก็ให้ข้อมูล ส่วนผลประชุมออกมาอย่างไร ก็เป็นมติที่ประชุม ถามอีกว่าที่ผ่านมาท่าทีนายอนุทินไม่เคยยอมกับนโยบายกัญชา นายอนุทินตอบกลับว่า “แล้วใครบอกว่าเที่ยวนี้ผมยอม เคยเห็นผมยิ้มๆแบบนี้ ผมยอมหรือเปล่า”
ภท.ย้ำจุดยืนออกกม.คุมใช้กัญชาการแพทย์
วันเดียวกัน ที่พรรคภูมิใจไทย(ภท.) นายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ สส.สงขลา โฆษกพรรคภูมิใจไทย พร้อมนายศุภชัย ใจสมุทร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี (นายอนุทิน ชาญวีรกูล) แถลงจุดยืนของพรรคเรื่องกัญชาว่า จุดยืนของพรรคภูมิใจไทยคือ กัญชาทางการแพทย์ สุขภาพ และการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ เป็นนโยบายหลักของพรรค กระทรวงสาธารณสุขและกระทรวงอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องและเป็นกลไกของรัฐบาลต้องมีส่วนร่วมทำนโยบายนี้ให้บรรลุวัตถุประสงค์ พรรคเสนอกฎหมาย เป็นเครื่องมือให้รัฐบาลบรรลุผลสำเร็จในการป้องกัน ควบคุมและลงโทษผู้กระทำความผิด โดยผลักดันกฎหมายมาตั้งแต่ปี 2562 และเสนองร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง พ.ศ...ในปี 2566 ซึ่งอยู่ในขั้นตอนของสภาผู้แทนราษฎร ฉะนั้นขอทำความเข้าใจกับกลุ่มที่คัดค้าน ที่รัฐบาลจะนำกัญชา กลับเป็นยาเสพติด ว่าเป็นหน้าที่ของพรรคภูมิใจไทยที่จะผลักดันกฎหมายให้สำเร็จ ทั้งนี้ การเสนอ ร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง จะบรรลุได้คือ 1.เป็นร่างของคณะรัฐมนตรี 2.เป็นร่างของพรรคการเมืองที่พรรคภูมิใจไทยเคยเสนอไป 2 รอบแล้ว และ3.ร่างของประชาชน ซึ่งทั้ง 3 ร่างถ้าเข้าสู่การพิจารณาคิดว่าจะปิดช่องโหว่ เพื่อให้กฎหมายนี้ผ่านไปได้
จี้สภาฯหนุนออกพ.ร.บ.กัญชาฯ
ด้านนายศุภชัยกล่าวเพิ่มเติมว่า วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดคือ เร่งออกพระราชบัญญัติต่างๆ พรรคภูมิใจไทย โดย นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรค เป็นผู้นำเสนอ และผลักดัน นโยบายการใช้ประโยชน์จากกัญชา กัญชง ทางการแพทย์ สุขภาพ และสร้างเสริมมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ เป็นนโยบายรัฐบาล ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของนโยบายรัฐบาลต่อเนื่อง ทั้ง 2 รัฐบาลที่พรรคภูมิใจไทยเป็นพรรคร่วมรัฐบาล เป็นการแสดงจุดยืนของพรรคภูมิใจไทยที่มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง และในสภาผู้แทนราษฎรชุดนี้ พรรคภูมิใจไทยได้เสนอร่างพ.ร.บ.กัญชา กัญชง ต่อประธานรัฐสภาแล้ว อยู่ในกระบวนการจะนำเข้าพิจารณาในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งการเสนอร่างพ.ร.บ.กัญชาฯทั้งสองครั้ง แสดงให้เห็นว่า พรรคฯไม่ได้มีนโยบายให้ใช้กัญชาโดยเสรีปราศจากการควบคุม ตามที่มีการสร้างวาทกรรมใส่ร้ายพรรคภูมิใจไทย
แนะทำโพลหลังปลดล็อคได้ประโยชน์แค่ไหน
ขณะที่นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีจะนำกัญชากลับเข้าบัญชียาเสพติดว่า เท่าที่ติดตามมีหลายภาคส่วนไม่เห็นด้วย ซึ่งต้องคิดให้ละเอียด ถ้าเรามีกฎหมายที่ดีควบคุมก็จะเป็นประโยชน์ เพราะทุกที่นำกัญชามาใช้เพื่อสุขภาพ ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข ควรสำรวจหลังปลดล็อคกัญชาว่าจะเป็นประโยชน์ได้มากกว่าหรือไม่ ส่วนเรื่องยาบ้านั้น ตนเห็นด้วยในหลักการที่พบเพียง 1 เม็ด ดำเนินคดีและยึดทรัพย์ได้ทันที แต่กัญชา หากนำกลับไปเป็นยาเสพติด ก็ต้องมีการประกันตัว แล้วคนที่ลงทุนไปจะให้เขาไปยืนตรงไหน ตนเห็นว่าแนวทางของพรรคภูมิใจไทยที่ให้ใช้ความระมัดระวัง เพราะกัญชามีส่วนดีที่เป็นพืชสมุนไพรและพืชเศรษฐกิจ ถ้าเรารอบคอบก็จะเป็นประโยชน์มากกว่า
สำหรับประเด็นนี้จะกลายเป็นเรื่องบาดหมางในรัฐบาลหรือไม่นั้น นายคารมกล่าวว่า พรรคร่วมรัฐบาลมีนโยบายของแต่ละพรรค นำมารวมเป็นนโยบายรัฐบาล แต่จะดำเนินการอย่างไร เป็นการตัดสินใจของรัฐบาลเพื่อไทย หากเราไม่พูด แล้วนำกลับไปเป็นยาเสพติด น่าจะเป็นผลร้ายมากกว่า ตนจึงอยากแจ้งไปยังรมว.สาธารณสุข หรือ ปปส. ชุดใหญ่ที่มีนายกฯเป็นประธานว่า ก่อนจะนำกลับไปเป็นยาเสพติดน่าจะสำรวจ ว่าหลังปลดล็อคมาแล้ว จะเป็นประโยชน์มากกว่าหรือไม่ เรื่องนี้ตนคิดว่า นายอนุทินในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ใช้ความรอบคอบดีแล้ว เพราะเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฯ ไม่น่ามีเรื่องที่ไม่ดี แต่น่าจะเป็นเรื่องดีมากกว่าที่จะทำให้เกิดข้อระมัดระวังมากขึ้น
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี