สาวเจ้าของธุรกิจรถเช่าแจ้งความดำเนินคดีสื่อผี เรียกรับเงินช่วยวิ่งเต้นคดี โป๊ะแตกคุยโวช่วยไม่ได้ ขอเงินคืนอ้างสินน้ำใจค่าเสี่ยงตาย

เมื่อเวลา 01.06 น.วันที่ 31 สิงหาคม 2567 MRS.VANNAPHONE SIVONGSA อายุ 25 ปี สัญชาติลาว เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับร.ต.อ.พุทธรักษ์ สอนคำหาน รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองพัทยา หลังถูกบุคคลแอบอ้างเป็นนักข่าว เรียกรับเงินเพื่อช่วยเร่งรัดคดี แต่กลับยิ่งเลวร้ายไปกว่าเก่า จนกระทั่ง คิดว่าตนเองโดนหลอกแน่ จึงเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ เพื่อดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมาย พร้อมทั้งฝากเตือนประชาชน อย่าหลงเชื่อบุคคลเหล่านี้ มิฉะนั้นจะต้องเสียเงินเสียทองเฉกเช่นตนเอง

โดย MRS.VANNAPHONE เปิดเผยว่า ตนเองเป็นเจ้าของธุรกิจรถเช่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 29 ก.ค.มีคนมาขอเช่ารถจักรยานยนต์ แล้วสุดท้ายได้ถูกผู้เช่าเชิดรถหนีไป หลังแจ้งความร้องทุกข์แล้วก็อยากให้สื่อมวลชน ช่วยนำเสนอเพื่อเป็นการเตือนภัย หลังตกเป็นข่าวดังชั่วค่ำคืน ตนเองจึงนำลิ้งค์ข่าวไปแชร์พร้อมติดแท็กเพจข่าวและสำนักข่าวต่างๆ หวังให้ผู้ประกอบการรับรู้ และมีภูมิต้านทานที่จะไม่โดนกลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้หลอกลวง

แต่กลับกลายเป็นว่ามีผู้ใช้เฟสบุ๊ครายหนึ่งชื่อ อ้างเป็นสื่อ ได้ติดต่อเข้ามาพูดคุย โดยออกอุบาย เสนอตัวว่ารู้จักตำรวจ ทั้งผู้กำกับก็สามารถคุยสั่งการได้ เดียวจะทำข่าวช่วยเหลือเร่งรัดคดีให้ พร้อมกับถามว่าหากจับกุมผู้ก่อเหตุได้จะตั้งรางวัลไหม ตนเองจึงตอบไปว่าถ้าสามารถจับคนร้ายได้จะให้ 10,000 บาท หาก ได้รถคืนด้วยจะเพิ่มให้ 15,000 บาท จึงเอาเงินจำนวนนี้ให้กับผู้ก่อเหตุไป แต่เรื่องกลับตาลปัตร หลังรับรู้ความจริงว่าผู้ชายคนดังกล่าว ไม่ใช่ผู้สื่อข่าวตัวจริง และไม่สามารถทำอย่างที่พูดได้ จึงได้ทักท้วงขอเงินคืนมาได้ 11,000 บาท ส่วนที่เหลือ เจ้าตัวขอไว้เป็นค่าดำเนินการ ค่าสินน้ำใจค่าเสี่ยงตาย

ซึ่งตนเองคิดว่าการกระทำดังกล่าว ซ้ำเติมความเดือดร้อนของตนเองมาก ทั้งรถที่ถูกคนร้ายเอาไป และมาถูกชายแอบอ้างเป็นนักข่าวหลอกเอาเงินซ้ำไปอีก ทั้งที่นักข่าวกลุ่มแรกที่มานำเสนอเปิดประเด็น ไม่ได้มีการเรียกร้องเงินใดใดทั้งสิ้น ถึงมั่นใจว่าตนเองโดยหลอกแน่ จึงวางแผนติดต่อไปหาผู้ชายคนดังกล่าวเพื่อสอบถาม ก่อนเดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์ดังกล่าว

เบื้องต้นตนเองได้เดินทางเข้าแจ้งความร้องทุกข์กับพนักงานสอบ เจ้าของคดีซึ่งเป็นคนเดียวกับคดีแรก ได้เปิดเผยว่า ในส่วนของคดีนั้นมีความคืบหน้าไปมาก อยู่ระหว่างการติดตามตัวคนร้าย ซึ่งมีบุคคลคนเดียวกันอ้างเป็นตัวเป็นนักข่าว พยายามโทรเข้ามาขู่บังคับ เร่งรัดการดำเนินคดีจริง โดยที่ไม่มีความรู้ในกระบวนการทางกฎหมาย ทั้งพยายามอธิบายแต่ผู้ชายคนดังกล่าว จะตามใจตนเองเท่านั้น ทั้งยังขู่จะเขียนข่าวโจมตี แต่ด้วยความที่ดำเนินการตามข้อเท็จจริง จึงไม่ได้สนใจอะไร กระทั่งมาทราบว่าผู้เสียหายคนดังกล่าว ถูกหลอกเอาเอาเงินไป ถึงได้ลงบันทึกประจำวัน ไว้เป็นหลักฐานเพื่อดำเนินคดีตามกระบวนการทางกฎหมายต่อไป