ปภ.เตือน 44 จว.ระวังท่วมฉับพลัน

ฝนถล่มหนัก!

เชียงใหม่น้ำล้น-บ้านทรุด

พะเยาอ่วมเข้าขั้นวิกฤต

แม่ฮ่องสอนนาจมบาดาล

สทนช.สั่งเฝ้าจับตา 5 ลำน้ำ

แม่ฮ่องสอนฝนถล่ม น้ำยังท่วมหนัก ส่วนเชียงใหม่ น้ำกัดเซาะตลิ่งบ้านทรุดเสียหายนับสิบหลัง ขณะที่ “วราวุธ” ตรวจน้ำเขื่อนเจ้าพระยา เชื่อน้ำไม่ท่วมเหมือนปี 2554 ด้าน ปภ.เตือน 44 จังหวัดรับมือน้ำท่วมฉับพลัน-น้ำป่าไหลหลาก 3-9 กันยายนนี้ ส่วน สทนช.สั่งเฝ้าระวัง 5 ลำน้ำสายหลัก น้ำเพิ่มสูงจากฝนตกหนัก

เมื่อวันที่ 2 กันยายน นายประหยัด ธรรมเยี่ยมยอด ผู้ใหญ่บ้านกุงไม้สัก ต.ปางหมู อ.เมือง จ.แม่ฮ่องสอน รายงานสถานการณ์น้ำท่วมต่อนายอำเภอเมือง จ.แม่ฮ่องสอน ว่าพื้นที่การเกษตรยังถูกน้ำท่วมเป็นวงกว้าง เป็นเวลานานกว่า 1 เดือนแล้ว ส่งผลให้นาข้าวเสียหาย บางพื้นที่น้ำเพิ่งท่วมพื้นที่การเกษตรของชาวบ้าน เนื่องจากมีฝนตกหนัก ทำให้น้ำจากลำน้ำแม่สะงา ล้นตลิ่ง แม้ว่าก่อนหน้านี้ทางชลประทาน รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้ตรวจสอบฝายนาปางหมู ใช้รถแบ็กโฮ เปิดประตูน้ำช่องที่ 2 เพื่อระบายน้ำออก

เชียงใหม่น้ำกัดเซาะบ้านทรุดตัว

ที่ จ.เชียงใหม่ ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ลำน้ำแม่ริม ที่มีน้ำป่าไหลหลาก ระดับน้ำลดลงแล้ว แต่ได้กัดเซาะตลิ่งจนพังเสียหาย ทำให้บ้านเรือนประชาชนเกือบสิบหลัง ได้รับผลกระทบ บางหลังได้ทรุดตัวลงไปในน้ำ และเสี่ยงพังเสียหายอีกหลายหลัง ชาวบ้านยังหวาดผวา เพราะตลิ่งยังทรุดตัวต่อเนื่อง แต่ไม่กล้าย้ายออก เนื่องจากกลัวว่าทรัพย์สินจะสูญหาย

ทั้งนี้ ภายหลังเกิดน้ำป่าไหลหลากบนดอยสูง ไหลลงตามลำห้วย สู่ลำน้ำแม่ริม อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ทำให้ระดับน้ำ ในลำน้ำแม่ริม เพิ่มสูงขึ้น และไหลท่วมบ้านเรือนประชาชน เป็นบริเวณกว้าง แม้ระดับน้ำจะลดลง แต่ก็กัดเซาะตลิ่งบริเวณหมู่บ้านหัวดง ต.ริมเหนือ จนทรุดตัว เข้าถึงบ้านเรือนประชาชนที่ตั้งอยู่ริมน้ำ และมีบ้านบางส่วนพังทลาย อาคารร้าว ดินทรุดตัวต่อเนื่องอย่างช้าๆ ชาวบ้านส่วนใหญ่เป็นแรงงานชาวไทใหญ่ ซึ่งต่างต้องพากันขนย้ายทรัพย์สินออกมานอกบ้าน แต่บางรายก็ไม่ยอมย้ายเพราะเป็นห่วงทรัพย์สิน

พบมีบ้านเสียหายกว่า40หลัง

นายนิมิตร วรจักษ์ ผู้ใหญ่บ้านหัวดง ต.ริมเหนือ อ.แม่ริม กล่าวว่า น้ำป่ามาเร็วมากจนขนย้ายทรัพย์สินไม่ทัน บ้านเรือนได้รับผลกระทบ และเสียหายกว่า 40 หลัง ขณะที่มีบ้านที่อยู่ริมตลิ่งที่พังเสียหาย เป็นห้องแถว 5 หลัง และมีความเสี่ยงที่อาคารจะพังทลายลงแม่น้ำได้ตลอดเวลา ส่วนฝั่งตรงข้ามกับบ้านหัวดง เป็นหมู่บ้านทรายมูล ต.ริมใต้ มีบ้านเรือนประชาชนที่ตลิ่งทรุดตัว ทำให้ห้องครัวและห้องน้ำพังถล่มลงไปในแม่น้ำ มีบ้านเสียหาย 5 หลัง และมีทีท่าว่าดินจะทรุดตัวเพิ่มขึ้นอีก ซึ่ง ผวจ.เชียงใหม่ ได้สั่งการให้เร่งช่วยเหลือประชาชนแล้ว แต่ยังห่วงคนที่ยังไม่ยอมย้ายออก จึงขอให้เพิ่มความระมัดระวัง

‘วราวุธ’ตรวจเขื่อนเจ้าพระยา

วันเดียวกัน ที่เขื่อนเจ้าพระยา จ.ชัยนาท นายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ พร้อมคณะ รับฟังบรรยายสรุปสถานการณ์น้ำ โดยมีนายวัชระ ไกรสัย ผอ.สำนักงานชลประทานที่ 12 และนายวิชัย ผันประเสริฐ ผอ.ส่วนบริหารจัดการน้ำและบำรุงรักษา สำนักงานชลประทานที่ 12 เป็นผู้รายงานสถานการณ์น้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา การบริหารจัดการน้ำในลุ่มน้ำเจ้าพระยา ปริมาณน้ำใช้การ 4 เขื่อนหลักในลุ่มน้ำเจ้าพระยา การคาดการณ์ฝนที่ต้องเฝ้าระวังในช่วงระยะเวลาสัปดาห์นี้

ชี้น้ำภาพรวมเอาอยู่ไม่เท่าปี’54

นายวราวุธ กล่าวว่า จากที่ได้รับรายงานสถานการณ์น้ำ พบว่าปี 2567 สถานการณ์น้ำภาพรวมน่าอยู่ในพื้นที่ควบคุมได้ อาจมีน้ำท่วมเล็กน้อย แต่ไม่ถึงปี 2554 อย่างแน่นอน ส่วนที่มีความเป็นห่วงคือพื้นที่ อ.บางปลาม้า และ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี เนื่องจากอยู่ปลายน้ำ ต้องมีการบริหารจัดการน้ำ จึงเป็นการบ้านฝากทางกรมชลประทาน ทั้งพื้นที่เหนือเขื่อนและท้ายเขื่อน ให้กระจายน้ำและหน่วงน้ำ เพื่อให้เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวพืชผลทางการเกษตรได้ทัน และส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนน้อยที่สุด แม้น้ำจะท่วมก็ท่วมในปริมาณที่ไม่มาก หรือสามารถระบายลงแม่น้ำเจ้าพระยา หรืออ่าวไทย ได้เร็วที่สุด

หวั่นน้ำทะเลหนุนต้องเร่งระบาย

นายวราวุธ กล่าวอีกว่า อย่างไรก็ตาม ก็ต้องคำนึงถึงห้วงเวลาของน้ำทะเลหนุนด้วย โดยเฉพาะช่วงหนุนที่พีคที่สุดในเดือนตุลาคมนี้ ถ้าเร่งระบายลงอ่าวไทยได้ก่อน ก็ต้องเร่ง ส่วนที่บริเวณประตูน้ำพลเทพ ซึ่งจะเข้ามาแม่น้ำท่าจีน ได้ลดปริมาณการปล่อยน้ำลงแล้ว ทำให้สามารถยันน้ำที่จะเข้ามาในระบบให้อยู่ในระดับนี้ ดังนั้นเมื่อไม่มีน้ำในระบบเพิ่มขึ้น มีแต่น้ำทุ่ง ก็จะสามารถทำให้ระดับน้ำที่อยู่ในพื้นที่ จ.สุพรรณบุรี อยู่ในระดับที่ควบคุมได้ แต่ต้องดูสภาพอากาศด้วยว่าหากฝนตกลงมาหนัก อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ปภ.ชี้หลายพื้นที่เกิดฝนตกหนัก

ด้านนายไชยวัฒน์ จุนถิระพงศ์ อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เปิดเผยว่า กองอำนวยการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกลาง (กอปภ.ก.) ได้ติดตามสภาวะอากาศและพิจารณาปัจจัยเสี่ยง ประกอบกับกรมอุตุนิยมวิทยา มีประกาศฉบับที่ 1 (156/2567) ลงวันที่ 1 กันยายน 2567 แจ้งว่าช่วงวันที่ 3-7 กันยายน 2567 ร่องมรสุมจะเลื่อนลงมาพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เข้าสู่หย่อมความกดอากาศต่ำบริเวณทะเลจีนใต้ตอนกลาง ประกอบกับมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ที่พัดปกคลุมทะเลอันดามัน ประเทศไทย และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนเพิ่มขึ้นและฝนตกหนักถึงหนักมากบางพื้นที่ของภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง และภาคใต้

อันดามัน-อ่าวไทยคลื่นลมแรง

สำหรับคลื่นลมบริเวณทะเลอันดามัน และอ่าวไทยจะมีกำลังแรงขึ้น โดยช่วงวันที่ 4-7 กันยายน 2567 ทะเลอันดามันมีคลื่นสูง 2-3 เมตร บริเวณที่มีฝนฟ้าคะนองคลื่นสูงกว่า 3 เมตร อีกทั้งสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) มีประกาศฉบับที่ 13/2567 ลงวันที่ 1 กันยายน 2567 ให้เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก โดยมีพื้นที่แจ้งเตือนสถานการณ์ระหว่างวันที่ 3-9 กันยายน 2567 ดังนี้ พื้นที่เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ได้แก่ ภาคเหนือ 7 จังหวัด ได้แก่ จ.แม่ฮ่องสอน อุตรดิตถ์ ตาก สุโขทัย พิษณุโลก เพชรบูรณ์ และอุทัยธานี

ภาคกลาง9จังหวัดรับผลกระทบ

ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 4 จังหวัด ได้แก่ จ.เลย หนองคาย บึงกาฬ และอุบลราชธานี ภาคกลาง 9 จังหวัด ได้แก่ จ.กาญจนบุรี ราชบุรี นครนายก ปราจีนบุรี ชลบุรี ระยอง จันทบุรี ตราด และประจวบคีรีขันธ์

ภาคใต้ 9 จังหวัด ได้แก่ จ.ชุมพร สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช พัทลุง ระนอง พังงา ภูเก็ต ตรัง และสตูล

ขณะที่พื้นที่เฝ้าระวังน้ำท่วมขัง ได้แก่ กทม.พื้นที่เฝ้าระวังคลื่นลมแรง ภาคใต้ 6 จังหวัด ได้แก่ จ.ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง และสตูล พื้นที่เฝ้าระวังอ่างเก็บน้ำขนาดกลางและเล็กที่มีปริมาณน้ำมากกว่าร้อยละ 80 จ.เชียงใหม่ พะเยา น่าน แพร่ อุตรดิตถ์ สุโขทัย กำแพงเพชร เพชรบูรณ์ อุทัยธานี เลย หนองคาย บึงกาฬ สกลนคร อุดรธานี หนองบัวลำภู ขอนแก่น นครพนม มุกดาหาร ยโสธร ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี นครนายก ปราจีนบุรี จันทบุรี ตราด สุราษฎร์ธานี และตรัง และอ่างเก็บน้ำที่มีสถิติปริมาณน้ำไหลเข้าอ่างเก็บน้ำมากกว่าความจุเก็บกักที่มีความเสี่ยงน้ำล้นอ่างฯ ส่งผลให้น้ำท่วมบริเวณด้านท้ายน้ำ

ปภ.เตือน44จังหวัดรับมือน้ำท่วม

นายไชยวัฒน์ กล่าวว่า กอปภ.ก.ได้ประสานแจ้ง 44 จังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ และ กทม.รวมถึงศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตในพื้นที่เสี่ยงภัย ให้จัดเจ้าหน้าที่ติดตามปริมาณฝนและเฝ้าระวังสถานการณ์น้ำอย่างใกล้ชิดตลอด 24 ชั่วโมง โดยเฉพาะพื้นที่มีฝนตกหนักและพื้นที่มีฝนตกติดต่อกันเป็นเวลานาน พื้นที่จุดเสี่ยงที่เคยเกิดน้ำท่วมอยู่เป็นประจำ และพื้นที่ชุมชนเมืองที่เคยเกิดน้ำท่วมขังระบายไม่ทัน สำหรับสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติ โดยเฉพาะถ้ำน้ำตก ถ้ำลอด หากมีความเสี่ยงเกิดสถานการณ์ภัย ให้ประกาศแจ้งเตือนและปิดกั้นพื้นที่ไม่ให้บุคคลใดเจ้าพื้นที่โดยเด็ดขาด พร้อมทั้งจัดเจ้าหน้าที่เฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยงภัยดังกล่าวตลอด 24 ชั่วโมง

สทนช.สั่งจับตา5ลำน้ำสายหลัก

ขณะที่ สทนช.ออกประกาศ เรื่อง เฝ้าระวังน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก ช่วงวันที่ 3-9 กันยายน 2567 เนื่องจากร่องมรสุมพาดผ่านภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะที่มรสุมตะวันตกเฉียงใต้มีกำลังแรงขึ้น ทำให้ประเทศไทยมีฝนตกหนักบางแห่งบริเวณภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคตะวันออก และภาคใต้

จากการประเมินวิเคราะห์สถานการณ์น้ำ ตามฝนคาดการณ์จากกรมอุตุนิยมวิทยา และสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) และการคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำหลากและพื้นที่เสี่ยงดินโคลนถล่มบริเวณพื้นที่ต้นน้ำจากกรมทรัพยากรน้ำและกรมทรัพยากรธรณี พบว่า แม่น้ำสายหลัก 5 สาย และลำน้ำสาขาต้องเฝ้าระวังระดับน้ำเพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันและระดับน้ำล้นตลิ่งท่วมขังในพื้นที่ลุ่มต่ำ ได้แก่ แม่น้ำยม จ.พิษณุโลก แม่น้ำแควน้อย จ.พิษณุโลก แม่น้ำจันทบุรี จ.จันทบุรี แม่น้ำตราด จ.ตราด และแม่น้ำเจ้าพระยา จ.ชัยนาท ส่งผลให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นในพื้นที่ลุ่มต่ำนอกคันกั้นน้ำ คลองโผงเผง จ.อ่างทอง คลองบางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา และแม่น้ำน้อย ต.หัวเวียง อ.เสนา ต.ลาดชิด ต.ท่าดินแดง อ.ผักไห่ จ.พระนครศรีอยุธยา

‘ภูมิธรรม’ยังไม่ถกแก่งเสือเต้น

ขณะเดียวกัน นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการรื้อฟื้นโครงการแก่งเสือเต้น ภายหลังเกิดสถานการณ์น้ำท่วม จ.สุโขทัย ว่ายังไม่มีการนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) สัปดาห์นี้ เรื่องนี้เป็นเพราะได้ไปกรวดน้ำท่วมแล้วมีประเด็นที่ลำน้ำยม มีปัญหาน้ำหลากท่วมพื้นที่เสียหาย ตนจึงเสนอว่าควรหยิบเรื่องโครงการแก่งเสือเต้น มาพูดคุยอีกครั้งแล้วดูเหตุผลความจำเป็น สิ่งสำคัญคือต้องหาแนวทางแก้ปัญหาลำน้ำยมที่ไม่มีจุดระบายน้ำ ส่วนจะเป็นโครงการแก่งเสือเต้น หรือแก่งเล็กแก่งน้อย ก็แล้วแต่ แค่ขอให้ประชาชนได้รับประโยชน์