‘ชัยวัฒน์’เฮ!!! ศาลยกฟ้อง คดี‘รัชฎา’ฟ้องปมจับส่วยในห้องทำงาน

‘ชัยวัฒน์’เฮ!!! ศาลยกฟ้อง คดี‘รัชฎา’ฟ้องปมจับส่วยในห้องทำงาน

วันอังคาร ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2567, 11.15 น.

"ชัยวัฒน์"เฮ!!! ศาลยกฟ้อง หลังถูก"อดีต อธ.กรมอุทยานฯ"ฟ้องเอาผิด แจ้งความเท็จ ปลอมหลักฐานกลั่นแกล้งรับโทษรับเงินส่วย ศาลชี้พยานหลักฐานน้ำหนักไม่เพียงพอ เจ้าตัวยิ้มรับ ยันไม่ฟ้องกลับ แต่ขอทำงานต่อ เชื่อมั่นความสุจริตของตัวเอง

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ที่ห้องพิจารณา 806 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำพิพากษาคดีดำ อ.824/2566 ที่ นายรัชฎา สุริยกุล ณ อยุธยา อดีตอธิบดีกรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นโจทก์ฟ้อง นายชัยวัฒน์ ลิ้มลิขิตอักษร ผู้อำนวยการสำนักอุทยานแห่งชาติ เป็นจำเลย ในความผิดฐาน แจ้งข้อความอันเป็นเท็จ เพื่อกลั่นแกล้งให้โจทก์ได้รับโทษ


โดยโจทก์ระบุฟ้องความผิดจำเลยสรุปว่า เมื่อเดือนเมษายน 2564 ถึงปัจจุบัน จำเลยได้กระทำผิดต่อโจทก์ โดยกล่าวหาว่าโจทก์ได้กระทำผิดต่อตำแหน่งเรียกรับทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดสำหรับตนเองโดยไม่ชอบ และกล่าวหาโจทก์มีนโยบายก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยโจทก์มีคำสั่งโยกย้าย ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องวิ่งเต้นที่สำนักงานอธิบดีรายละประมาณ 200,000 - 300,000 บาท หากผู้ใดไม่วิ่งเต้นก็จะถูกโยกย้ายทำให้เดือดร้อน เมื่อเป็นเจ้าหน้าที่หัวหน้าหน่วยภาคสนามจะต้องจ่ายเงินเป็นรายเดือนต่อเดือนให้กับโจทก์ ทำให้พนักงานสอบสวนจดข้อความอันเป็นเท็จดังกล่าว

โจทก์ระบุฟ้องอีกว่า เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2565 จำเลยยังได้วางแผนเข้ามาขอพบโจทก์แล้วกลั่นแกล้งโจทก์ โดยแอบซุกซ่อนติดกล้องซึ่งสามารถบันทึกภาพและเสียงเข้าพบโจทก์ ขณะเดียวกันจำเลยได้นำซองกระดาษสีขาว ทราบภายหลังว่าคือซองบรรจุเงิน จำนวน 98,000 บาท ออกมาวางบนโต๊ะ จากนั้นจำเลยก็ออกจากห้องโจทก์ไป ผ่านไปไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ตำรวจบุกเข้ามาในห้องโดยไม่มีหมายค้น และอ้างว่าเป็นการกระทำผิดซึ่งหน้า และค้นพบซองบรรจุเงิน 98,000 บาท ซึ่งจำเลยวางทิ้งไว้ ทำให้โจทก์เกิดความเสียหาย และเป็นการกลั่นแกล้ง ให้โจทก์ต้องรับโทษทางอาญา

คดีนี้ศาลไต่สวนมูลฟ้องแล้ว เห็นว่าคดีมีมูล ให้ประทับฟ้องคดีไว้พิจารณา และสืบพยานทั้งสองฝ่ายจนแล้วเสร็จ

วันนี้ นายรัชฎา โจทก์ ไม่ได้เดินทางมาศาล มีเพียงทนายความมาศาลแทน ขณะที่นายชัยวัฒน์ จำเลย พร้อมทนายความ เดินทางมาศาล

โดย นายชัยวัฒน์ กล่าวก่อนเข้าห้องพิจารณาว่า คดีนี้มีการฟ้องศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบกลางไปแล้ว พร้อมกับตำรวจ , ปปป.และเจ้าหน้าที่ ปปช.ซึ่งเคสนั้นศาลยกคำร้อง หลังจากนั้น ฝ่ายโจทก์ก็มาฟ้องส่วนตัวตนในคดีอาญา หาว่าผมกลั่นแกล้งสร้างข้อมูลเท็จ ซึ่งตนก็ยืนยันด้วยความบริสุทธิ์ใจ ในฐานะผู้บังคับบัญชาด้วยการต้องแบกรับความอัดอั้นใจของเจ้าหน้าที่ระดับล่างที่เค้าถูกรังแก และเหตุการณ์ทั้งหมดก็ปรากฏไปตามที่สื่อมาก่อนหน้านี้

เมื่อถามว่า เป็นการกลั่นแกล้งหรือไม่ นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า ไม่มีใครสร้างเรื่องสร้างพล็อตได้ขนาดนี้ ถ้าตัวไม่ได้กระทำความผิดชัดเจน เพราะหัวหน้าหน่วยงาน ลูกน้องถูกรังแกมาตลอด บางคนต้องส่งรายเดือน บางคนถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม และการรังแกแบบนี้ไม่ใช่สังคมระบบราชการ แต่ผมเชื่อว่าทุกอย่างมันเกี่ยวข้องกับการเมือง ไม่ว่าจะระบบการเมืองแบบไหน หรือว่าต้องใช้ทุน

นายชัยวัฒน์ ยังกล่าวอีกว่า ไม่เป็นไร เมื่อเค้าฟ้องผมเราจะใช้กฎหมาย และต่อสู้ด้วยระเบียบข้อกฎหมาย และหลักฐานที่มีผมได้ยื่นต่อศาลเรียบร้อยแล้ว ส่วนคดีเรียกรับสินบน ต้นเรื่องทาง ป.ป.ช.ส่งฟ้องไปแล้วให้อัยการ ซึ่งในระหว่างอัยการสูงสุดทำงานอยู่ก่อนจะยื่นต่อศาล หากวันนี้ศาลมีคำพิพากษาว่าตนเป็นผู้ผิด ตนได้ให้ทนายเตรียมหลักทรัพย์จำนวนหนึ่งเพื่อต่อสู้คดี แต่ขอยืนยันความบริสุทธิ์ตัวเอง

ต่อมาศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษา โดยพิเคราะห์พยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างแล้วเห็นว่า แม้จะมีพยานเบิกความสอดคล้องกันเรื่องที่โจทก์ไม่ได้เรียกรับสินบน แต่จำเลยก็ได้รับทราบจากผู้ใต้บังคับบัญชา ทำให้จำเลยเชื่อว่ามีการกระทำความผิดเรื่องการเรียกรับสินบนเกิดขึ้น จึงเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ , ปปป.และ ปปช.การกระทำดังกล่าวของจำเลยจึงไม่เป็นความผิดฐานแจ้งความเท็จเพื่อกล่าวหาให้โจทก์ต้องรับโทษ แม้ ปปช.จะชี้มูลความผิดต่อโจทก์และอัยการสูงสุดจะชี้ข้อไม่สมบูรณ์กลับก็ตาม แต่ก็ไม่ถือว่าเป็นการแจ้งความเท็จหรือให้ข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน อีกทั้งการเรียกรับสินบนต้องทำโดยปกปิดยากที่จะหาพยานหลักฐานในการตรวจสอบ แม้จำเลยจะเคยมีปัญหาเรื่องการตั้งกรรมการสอบสวนกับโจทก์ก็ตาม แต่จำเลยได้แจ้งหน่วยงานที่รับผิดชอบแล้ว จำเลยจึงไม่มีมูลเหตุจูงใจกล่าวหาโจทก์ให้รับโทษ

ส่วนเรื่องการสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ แม้ว่าจำเลยจะมีการรวบรวมเงินมาจริง แต่ก็เป็นการวางแผนจับกุมการส่งมอบเงิน จึงรับฟังได้ว่า จำเลยมีเจตนาทำให้ผู้กระทำผิดได้รับโทษ ไม่ได้มุ่งหมายถึงโจทก์ กรณีจึงไม่เข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทโจทก์ พยานหลักฐานโจทก์ที่นำสืบมายังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังให้ลงโทษจำเลยได้ พิพากษายกฟ้อง

ภายหลังฟังคำพิพากษา นายชัยวัฒน์ มีสีหน้ายิ้มแย้ม พร้อมเปิดเผยว่า ศาลได้ไล่เรียงเนื้อเรื่องเกี่ยวกับพยานหลักฐานที่ฝ่ายตนมี ซึ่งมีลำดับขั้นตอน กรณีฝ่ายโจทก์กล่าวหาว่าตนสร้างหลักฐานเท็จ สร้างพยานเท็จ ศาลพิจารณาแล้ว เห็นว่าไม่มีมูลความจริงให้ศาลรับฟังได้ เพราะเรื่องราวขั้นตอนทั้งหมดมีการรับเงินจริง

สำหรับคำพิพากษาของศาลวันนี้ ทำให้ฝ่ายตนในฐานะจำเลย ได้หลักฐานเพิ่มเติมขึ้น เนื่องจากสิ่งที่โจทก์นำมาเบิกความต่อศาลเป็นประโยชน์กับฝ่ายตน พร้อมยืนยันจะไม่ฟ้องกลับนายรัชฏา แต่จะขอคัดสำเนาคำพิพากษาเพื่อนำไปยื่นต่อ ปปช.เพิ่มเติม

ทั้งนี้ นายชัยวัฒน์ ยังระบุอีกว่า ขณะนี้ยังมีคดีที่ตนฟ้องร้องเกี่ยวกับการปฏิบัติหน้าที่อยู่ในศาลอีกหลายคดี ยืนยันจะต่อสู้ทุกคดี เนื่องจากเป็นการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความสุจริต

- 006

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top