มงคลกิตติ์แอ่วเหนือเตรียมความพร้อมขุนพล ปชป. รับศึกเลือกตั้งครั้งต่อไป - เผยวงสัมมนาหารือพบปัญหาฝุ่น PM 2.5 และรายได้เกษตรกรตกต่ำ เป็นเรื่องสำคัญที่ต้องแก้ไข -  พร้อมวางยุทธ์ศาสตร์เดือนกุมภาฯ เต็มเดือนเตรียมเยือนพื้นที่ 9 จังหวัดภาคเหนือเพื่อพบปะและแก้ไขปัญหาประชาชน 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์  ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นางสาวภคอร จันทรคณา อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ และ นายอนุรักษ์  อมรเมตตาจิตต์ -นางสาวกฤษยากร สรชัย คณะทำงานฯ  ร่วมพบปะสัมมนาวางแผนยุทธศาสตร์ เตรียมเลือกตั้ง ปี 2570 แก่ อดีต ผู้สมัคร ส.ส.-ตัวแทน-แกนนำ พรรคประชาธิปัตย์ อาทิ เชียงราย-ลำปางพะเยา-น่าน-แพร่-ตาก-อุตรดิตถ์-สุโขทัย-พิษณุโลก  ณ ร้านระเบียงน่าน เขื่อนสิริกิติ์ อำเภอท่าปลา จังหวัดอุตรดิตถ์ 

โดยนายมงคลกิตติ์ กล่าวว่า การพบปะกันในครั้งนี้ ถือเป็นการเตรียมความพร้อมของพรรคประชาธิปัตย์ เพื่อเตรียมความพร้อมเอาไว้แต่เนิ่นๆ เพราะตนเชื่อว่า การเตรียมความพร้อมสมาชิกพรรคเอาไว้ก่อน ดีกว่าจะไปช้อนทีหลังนั้น จะทำให้ชาวบ้านมีความเชื่อใจในตัวผู้สมัครและพรรคที่สังกัดว่า มีความหนักแน่นมั่นคง และมั่นใจว่าจะสามารถฝากอำนาจอธิปไตยที่เขามีอยู่ในมือไว้ให้กับคนที่เป็นนักการเมืองจริงๆ ที่ทำเพื่อประโยชน์ประชาชน รวมทั้ง ขณะนี้สถานการณ์การเมืองยังคงมีความผันผวนอยู่มาก เพราะมีหลายคนมองว่า อาจจะมีการเลือกตั้งเร็วกว่ากำหนด ดังนั้น การพบปะกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ภาคเหนือในช่วงนี้ ถือเป็นการแสดงออกให้พรรคการเมืองอื่นๆ เห็นว่า พรรคประชาธิปัตย์เอาจริงเอาจังในการชิงชัย สส. ภาคเหนือ ที่มีเกือบ 70 – 80 ที่นั่ง ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปด้วย 

นายมงคลกิตติ์กล่าวต่อว่า จากการพบปะหารือของตัวแทนสมาชิกพรรคภาคเหนือ นั้น มีหลากหลายประเด็น เช่น ปัญหาฝุ่น  pm 2.5  ที่ยังส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนคนภาคเหนืออย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าในปีนี้ปริมาณฝุ่นในภาคเหนือลดลงจากปีที่แล้ว แต่ก็สร้างปัญหาสุขภาพให้กับคนในพื้นที่ โดยมีการเสนอให้มีการแก้ไขทั้งในระยะสั้น และระยะยาว โดยต้องสร้างสมดุลระหว่างวิถีชีวิตคนเมืองและคนชนบทตามป่าตามเขาให้สามารถสูดอากาศบริสุทธิ์ได้อย่างเต็มปอดในทุกๆ วัน เพราะลมหายใจที่สะอาดถือเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของมนุษย์ในการดูแลสุขภาพ ต่อมา เรื่องรายได้ที่ตกต่ำของเกษตรกร เนื่องจากขณะนี้เมื่อไม่มีนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์เกี่ยวกับการประกันรายได้เกษตรกรนั้น ปรากฏว่า รายได้ลดลงอย่างชัดเจน โดยขณะนี้ เกษตรปลูกข้าวเดือดร้อน เพราะได้เงินชดเชยเหลือ 1,000 บาท/ไร่ ไม่เกิน 10 ไร่ ซึ่งต่างจากนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ที่จะให้เงินชดเชย เป็นไร่ละ 2,000 บาท ไม่เกิน 15 ไร่ เท่ากับว่า จะได้ค่าชดเชยถึง 30,000 บาท ส่วนราคาข้าวเปลือกเจ้าขณะนี้ตกลงมาเหลือตันละ 7,500-7,900 บาท/ตัน ซึ่งถ้าหากนโยบายประกันรายได้ยังมีอยู่ ชาวนาผู้ขายข้าวจะต้องได้เงินส่วนต่างประกันรายได้อย่างน้อย 3,000 – 4,000 บาท/ตัน ไม่ต้องมานั่งก่ายหน้าผากทุกข์ใจจนถึงขณะนี้ และที่น่าตกใจคือ ราคามันสำปะหลัง ตกต่ำเหลือแค่ 1.9-2.0 บาท/กก ซื้อหน้าไร่แค่ 1.8 บาท/กก เท่านั้น ซึ่งขณะนี้ ตนหวังว่า ขอให้รัฐบาลช่วยเหลือเกี่ยวกับรายได้ของชาวสวนมันสำปะหลังก่อน เพราะขณะนี้ มีความยากลำบากในการดำรงชีวิตมาก เป็นต้น ซึ่งต่อจากนี้ ทางตนและพรรคประชาธิปัตย์ จะเดินหน้าลงพื้นที่ทำกิจกรรมกับชาวภาคเหนือจำนวน 9 จังหวัด ตลอดเดือนกุมภาพันธ์  เพื่อเยี่ยมเยียนประชาชนทุกกลุ่ม โดยจะรับร้องเรียน เพื่อดำเนินการแก้ปัญหาและจัดทำเป็นนโยบายของพรรคฯ ต่อไป 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ที่ร่วมพบปะสัมมนาดังกล่าว นอกจากนายมงคลกิตติ์ และคณะแล้ว ยังมีอดีตผู้สมัคร สส. นายกฯ อบต. และบุคคลสำคัญในท้องถิ่น เข้ามาร่วมกันอย่างคับคั่ง เช่น นายธนพัต รักเรียน อดีตผู้สมัคร ส.ส. เชียงราย เขต 5 และตัวแทนพรรคประจำจังหวัดเชียงราย)  นายประสิทธิ์  คลังสีดา อดีตผู้สมัคร ส.ส.อุตรดิตถ์ เขต 2 และ ตัวแทนประจำจังหวัดอุตรดิตถ์ นายเรืองเดช  จอมเมือง อดีตผู้สมัคร สส.จังหวัดน่าน เขต 3  นายธนิตศักดิ์ ทวีพรจิรภาคย์ อดีต ผู้สมัคร ส.ส.ลำปาง เขต 1 และ ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดลำปาง  นายศุภรักษ์  ตุ้ยใจ อดีตผู้สมัคร ส.ส. ลำปาง เขต 3 และ ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดลำปาง น.ส.ประโลม นำพา ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดสุโขทัย น.ส.ถนอมจิต  แสงงาม อดีตผู้สมัคร สส. จังหวัดตาก เขต 2  นายยุทธนา แพนคร อดีตผู้สมัคร ส.ส.จังหวัดพิษณุโลก เขต 1 นายสุรกิจ  ศิริวาท อดีตผู้สมัคร ส.ส.แพร่ เขต 1 และ ตัวแทนพรรคประจำจังหวัดแพร่  นายสว่าง เปรมประสิทธิ์ นายก อบต. สะเนียน อ.เมือง จ.น่าน ร.ต.ต.สุวิชา  เพียงตานายก อบต.เด่นเหล็ก อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ นายชีน วันเกลียง นายก อบต.น้ำไคร่ อ.น้ำปาด จ.อุตรดิตถ์ นายบุญยงค์  สดสะอาด นายกสมาคมสื่อมวลชนจังหวัดน่าน และประธานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรจังหวัดน่าน และนายสุรพล เต็มสวัสดิ์รองประธานหอการค้าจังหวัดพะเยา เป็นต้น