ฝุ่นPM2.5กระทบสุขภาพชัดเจน! วงเสวนาย้ำต้องแก้จริงจัง แต่การปรับเปลี่ยนต้องเข้าใจวิถีชีวิตคน

ฝุ่นPM2.5กระทบสุขภาพชัดเจน! วงเสวนาย้ำต้องแก้จริงจัง แต่การปรับเปลี่ยนต้องเข้าใจวิถีชีวิตคน

วันพุธ ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2568, 16.59 น.

29 ม.ค. 2568 ที่เรือนจุฬานฤมิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย จัดเสวนาหัวข้อ “จุฬาฯ ระดมคิด พลิกวิกฤต PM2.5” ระดมคณาจารย์จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ให้ความในประเด็นฝุ่น PM2.5 อาทิ  อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย สิรินารา คณะแพทยศาสตร์ กล่าวว่า งานวิจัยทั่วโลกยืนยันตรงกันถึงผลกระทบทางสุขภาพจากฝุ่น PM2.5 ทั้งแบบฉับพลันและแบบเรื้อรัง โดยผลกระทบแบบฉบับพลัน เช่น ไอแห้งๆ ระคายเคืองตา ผื่นคันขึ้นตามตัว หรือบางคนมีอาการหอบหืดกำเริบ

ขณะที่ผลกระทบแบบเรื้อรัง เนื่องจากฝุ่น PM2.5 มีขนาดเล็กมาก จึงเข้าไปในส่วนลึกที่สุดของปอดและผ่านเข้าไปในกระแสเลือด ทำให้เกิดหลอดลมอักเสบ และระยะยาวสามารถกลายเป็นมะเร็งปอดได้ นอกจากนั้นยังมีรายงานว่า ในช่วงที่มีสถานการณ์ฝุ่น PM2.5 รุนแรง พบจำนวนผู้ป่วยโรคหัวใจขาดเลือดที่ต้องเข้าโรงพยาบาลเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ไปจนถึงความเสี่ยงต่อโรคสมองเสื่อมอัลไซเมอร์


“สำหรับในกลุ่มต่างๆ เช่น เด็กเล็ก จะทำให้เด็กเกิดอาการหอบหืดฉับพลันขึ้นมา หรืออาการเลือดกำเดาไหล ในกลุ่มหญืงตั้งครรภ์ก็จะมีงานวิจัยมากมาย เช่นว่าอาจทำให้เด็กคลอดก่อนกำหนดได้ และน้ำหนักตัวน้อยกว่าเกณฑ์ อันนี้คืองานวิจัยหลายประเทศยืนยันตรงกัน ส่วนในกลุ่มผู้สูงอายุก็จะเป็นผู้ป่วยเฉพาะโรคระบบหายใจ ทำให้หอบหืดกำเริบ แล้วก็มีถุงลมโป่งพอง รวมถึงที่เรากังวลที่สุดตอนนี้คือโรคมะเร็ง” อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย กล่าว

อ.ดร.พญ.ภัทราวลัย กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของระบบสาธารณสุข ณ ปัจจุบัน มีการรณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน แบ่งเป็นกลุ่มประชากรทั่วไปกับที่เป็นกลุ่มเปราะบาง โดยกลุ่มประชาชนทั่วไป จะเน้นให้ความรู้เรื่องหน้ากากที่ใช้ได้จริง ก็คือหน้ากากระดับ N95 ขึ้นไป และหน้ากากที่ดีที่สุดไม่จำเป็นต้องราคาแพงที่สุด แต่เป็นหน้ากากที่กระชับกับใบหน้าของผู้สวมใส่มากที่สุด

ขณะที่ในช่วงซึ่งเรียกว่าเป็น “ฤดูฝุ่น” ไม่ควรวิ่งกลางแจ้งเพราะระดับการหายใจจะรับฝุ่นเข้าไปเพิ่มขึ้น 15 – 20 เท่า อนึ่ง มีงานวิจัยที่พบว่า กรณีฝุ่นในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล มีส่วนผสมของโลหะหนักซึ่งเป็นสารก่อมะเร็งในปริมาณค่อนข้างสูง อาทิ สารหนู แคดเมียม โครเมียม สิ่งที่อยากผลักดันคือกฎหมายควบคุมการปล่อยสารโลหะหนักเหล่านี้ด้วย เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยควบคุมเพียงสารตะกั่วเท่านั้น

และในส่วนของกลุ่มเปราะบาง เช่น เด็ก อยากให้ครูและบุคลากรในสถานศึกษา คอยตรวจสอบค่าฝุ่นอย่างสม่ำเสมอ หากช่วงใดที่สถานการณ์รุนแรงก็ไม่ควรให้เด็กทำกิจกรรมกลางแจ้ง เช่น เข้าแถวหรือเรียนวิชาพลศึกษา ขณะที่กลุ่มหญิงตั้งครรภ์ หากไม่สามารถเลี่ยงการออกไปนอกอาคารได้ก็ควรใส่หน้ากากระดับ N95 ขึ้นไป เพราะฝุ่นมีผลต่อระบบปอดและพัฒนาการของเด็กในครรภ์

รศ.ดร.ทรรศนีย์ เจตน์วิทยาชาญ คณะวิทยาศาสตร์ กล่าวว่า ฝุ่นในเขตกรุงเทพฯ พบว่า ร้อยละ 50 เกี่ยวข้องกับการจราจร รองลงมาคือโรงงานอุตสาหกรรม เพราะสารเคมีที่ตรวจวิเคราะห์สามารถบ่งชี้ได้ นอกจากนั้นจะเป็นแหล่งกำเนิดอื่นๆ ร่วม เช่น การเผาในที่โล่ง แต่ไมได้เผาในพื้นที่กรุงเทพฯ หรือฝุ่นที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติไม่ได้มีแหล่งกำเนิดจากมนุษย์ซึ่งจะควบคุมได้ยาก ดังนั้นที่ภาครัฐพยายามทำคือควบคุมแหล่งกำเนิดที่สามารถควบคุมได้ ทั้งนี้ มีตัวอย่างจากต่างประเทศ เช่น ในเรื่องการจราจร มีการเปลี่ยนมาตรฐานเครื่องยนต์ให้ดีขึ้น

“ส่วนในภาคอุตสาหกรรม ในต่างประเทศก็พยายามผลักดันในเรื่องการใช้รายงานค่ามลพิษที่ปล่อยจากแหล่งอุตสาหกรรม เพื่อที่จะติดตามได้ว่าแหล่งกำเนิดนั้นปล่อยมากหรือน้อยแค่ไหน อันนั้นก็เป็นส่วนหนึ่งที่น่าจะช่วย แล้วก็เวลาจะสร้างเขาใช้นโยบายเรื่องของการให้เป็น Green (เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม) มากขึ้น” รศ.ดร.ทรรศนีย์ กล่าว

รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กิตติพงษ์วิเศษ สถาบันวิจัยสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน กล่าวว่า ในการพูดคุยครั้งนี้ไม่ได้ต้องการโทษว่าใครเป็นผู้ร้ายหรือใครต้องมาช่วย เพราะเมื่อปัญหาเกิดขึ้นเราพยายามหาทางแก้ไขให้ดีที่สุด อย่างไรก็ตาม คนเรามีวิถีชีวิตแตกต่างกัน อย่างคนที่เป็นเกษตรกรก็จะต้องกระทำการใดๆ เพื่อให้มีรายได้ ส่วนคนที่อยู่ในเมืองก็ต้องใช้ชีวิต ดังนั้นไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ขอให้พอเข้าใจในสถานการณ์ที่เกิดขึ้น และการรับข่าวสารเป็นสิ่งสำคัญมาก ซึ่งในฐานะที่เป็นอาจารย์ คุยกับเด็กก็พบความแตกต่างในการรับรู้ข่าวสาร

“อันนี้เป็นสิ่งที่อยากจะผลักดัน ไม่ว่าจะอยู่ในอาชีพไหนเราได้รับผลกระทบถ้วนทั่ว สิ่งที่อยากจะมุ่งเน้นคือกระบวนการสื่อสารและถ่ายทอดข้อมูล จะมีข้อมูลที่อาจารย์พยายามจะเปรียบเทียบเรื่องของสถานการณ์ทั้งกรุงเทพมหานครและพื้นที่ต่างจังหวัด สิ่งที่สำคัญที่สุดขอให้ท่านทราบสถานการณ์” รศ.ดร.สุทธิรัตน์ กล่าว

รศ.ดร.ศิริมา ปัญญาเมธีกุล คณะวิศวกรรมศาสตร์ กล่าวว่า เทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่ง แต่คนที่จะแก้ไขปัญหาควรลงไปในพื้นที่เพื่อทำความเข้าใจปัญหาจริงๆ ว่าคนที่อยู่ในพื้นที่นั้นเขามีวิถีอย่างไร ปรับเปลี่ยนอย่างไร และต้องให้เขาดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสะดวกด้วย ไม่ใช่เพียงการไปสั่งห้าม อย่างการสั่งห้ามเผา หากเป็นไปได้เกษตรกรก็ไม่อยากเผาเพราะก็เป็นคนที่อยู่ในพื้นที่ ก็ต้องมีวิธีการหรือแนวทางอื่นให้เขาจัดการ

“เรื่องของการเผา แน่นอนเรื่องของเครื่องจักรอย่างที่คณะวิศวะทำ เป็นเครื่องเล็กเข้าไป เครื่องสางใบอ้อย แต่ก็ต้องสงสารคนที่เข้าไปสาง คือมันก็ไม่ใช่ง่ายๆ นะ พอสางเสร็จใบที่ตีเข้ามาสาหัสมาก นั่นหมายถึงอะไร? หมายถึงว่าเราก็ต้องคุยในพื้นที่ว่าเตรียมแปลง คือถ้าสมมติว่าเตรียมแปลงเล็กนี่เลิกคุยเลยเพราะคันใหญ่ก็เข้าไม่ได้ คือรถมันไม่ใช่ไปทางเดียว มันต้องมีทางที่วิ่งไป ถ้าเป็นแปลงเล็กอาจต้องคิดใหม่ในลักษณะของการวางผังตั้งแต่ตอนปลูกเลย” รศ.ดร.ศิริมา กล่าว

รศ.ดร.ศิริมา กล่าวต่อไปว่า ส่วนปัญหาฝุ่นที่เกี่ยวกับเรื่องการจราจร ต้องมีการอำนวยความสะดวกเรื่องโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ต้องมีทางเดินที่สามารถเดินได้จริงๆ ขณะที่ “ฟีดเดอร์” หรือระบบขนส่งสาธารณะที่เชื่อมซอยเล็กหรือถนนสายรองไปจนถึงระบบขนส่งทางรางก็ต้องเพิ่มและเข้าถึงได้สะดวก มีการวางแผนเรื่องผังเมือง  ซึ่งเข้าใจว่าอยู่ในแผนแล้วและเป็นวาระแห่งชาติ แต่จริงๆ ควรจะเป็นวาระแห่งชาติแบบเร่งด่วน

043...

 

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top