รอบรั้วเมืองใต้ในหนังสือพิมพ์แนวหน้า ฉบับนี้ ผู้เขียนขอเข้าร่ายข่าวสังคม ชมคนที่ควรชม ข่มคนที่ควรข่ม ตามวิสัยคนหนังสือพิมพ์อาชีพ ที่เห็นมาอย่างไร ก็เขียนไปอย่างนั้น...■■ ยังเป็นเรื่องที่ไม่ง่ายสำหรับ แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการที่จะปรับ ครม. เพื่อให้เกิดการกระเพื่อมน้อยที่สุด และเพื่อให้รัฐบาล สามารถเดินหน้า อย่างมีเสถียรภาพ อย่างน้อยก็ให้ถึง ปี 2569 ก่อนที่จะยุบสภาฯ หากรัฐบาลผสม ไปไม่รอดจริงๆ...■■ เพราะเอาเข้าจริงปรากฏว่าภูมิใจไทย ที่เชื่อว่าเป็นลูกแกะในกำมือไม่กล้าหือ ปล่อยให้ เพื่อไทย ทำการยึดคืนมหาดไทยก็ยังไม่สำเร็จ เพราะการฮึดสู้ ของ เสี่ยหนู อนุทินชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย รองนายกรัฐมนตรีและเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ที่ออกแรงยื้อ แบบไม่ยอมปล่อยให้มหาดไทย หลุดมือไปง่ายๆ เป็นสัญญาณ บอกเหตุว่าถึงเพื่อไทย จะได้มหาดไทยไปและกระทบถึงเสถียรภาพของรัฐบาล อย่างแน่นอน...■■ เรื่องของลูกพรรค พรรครวมไทยสร้างชาติ ที่ออกมาเคลื่อนไหว เพื่อให้มีการปรับ ครม. โดยไม่มี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ผู้เป็นหัวหน้าพรรค เป็นรัฐมนตรี ในครม. ที่จะมีการปรับเปลี่ยนใหม่ นี่อาจจะเป็นปรากฏการณ์ ที่เป็นครั้งแรกของการเมืองไทย ที่ลูกพรรค จำนวนกว่าครึ่ง มีการส่งหนังสือถึงรัฐบาล ให้ปรับหัวหน้าพรรคของตนเองออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี ดังนั้นการเมืองของประเทศไทย ณ วันนี้จึงวุ่นวายสับสน อลเวง และไม่มีเสถียรภาพ พร้อมที่จะแตกหักภายในพรรคร่วมที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรง ต่อการบริหารประเทศให้ก้าวหน้าต่อไป...■■ และผลกระทบที่เกิดขึ้น ทั้งหมด จึงมีผลโดยตรงต่อการบริหารประเทศ ดังนั้นประเทศไทยในวันนี้จึงเต็มไปด้วยปัญหา ที่อีนุงตุงนัง ทั้งเรื่องของความมั่นคง เรื่องเศรษฐกิจ และปากท้อง ของประชาชนส่วนใหญ่ ที่อยู่ในภาคเกษตรกรและผู้ใช้แรงงาน เกษตรกร เมื่อผลผลิตทางการเกษตร
ที่ผลิตออกมา ต้องกล้ำกลืน ขายให้กับพ่อค้าคนกลางในราคาที่ตกต่ำ ที่รัฐบาลอ้างว่าเป็นกลไกการตลาดทั้งที่โดยข้อเท็จจริง อาจเป็นเพื่อถูกพ่อค้าคนกลาง ทำการกดราคา เนื่องจาก กลไกรัฐ ทั้งของกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ขาดประสิทธิภาพ ที่ไม่สามารถควบคุมพ่อค้าคนกลาง อย่าให้เอาเปรียบ ผู้เป็นเกษตรกร และที่น่าหดหู่ ถ้าฟังจากสื่อ ที่รายงาน ข่าวการปรับ ครม.และมีชื่อบุคคล ที่จะมาเป็นรัฐมนตรีของกระทรวงต่างๆ โดยเฉพาะกระทรวงสำคัญๆ ที่เกี่ยวกับปากท้องของประชาชน และที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจการค้าการลงทุนของประเทศ รายชื่อที่สื่อนำเสนอ ทุกคนเห็นแล้วหดหู่หัวใจ เพราะเป็นบุคคล ที่ไม่ตรงปกกับหน้าที่ ซึ่งต้องรับผิดชอบ ดังนั้นการปรับ ครม.
ที่จะมีขึ้นในครั้งนี้ ไม่ใช่ทำเพื่อประชาชน หรือเพื่อความรุ่งเรืองของประเทศชาติ แต่เป็นต่างตอบแทน ของพรรคการเมือง และเป็นเรื่องสมบัติผลัดกันชมสำหรับนักการเมือง ให้เป็นกลุ่มทุนของพรรคการเมือง โดยที่ไม่มีประชาชน และประเทศชาติ อยู่ในสมการของการปรับ ครม.ที่จะเกิดขึ้น แต่อย่างใดเป็นเหล้าเก่า ในขวดใหม่ ที่ไม่มีคุณภาพ และคุณประโยชน์ ไม่ว่ากับประชาชน หรือประเทศชาติ ดังนั้นการปรับ ครม.จึงไม่ใช่ข่าวดี สำหรับประชาชน
...■■ เรื่องของความมั่นคง ในแนวชายแดนด้านที่ติดกับประเทศกัมพูชา ตั้งแต่จังหวัดสระแก้วจนถึงจังหวัดสุรินทร์ มีปัญหาคาราคาซัง มายาวนานในเรื่องของพื้นที่แนวชายแดน ที่เป็นของประเทศไทยและถูกผู้นำของกัมพูชา ออกมาอ้างอย่างหน้าด้านๆ ว่าเป็นของกัมพูชา ปัญหาที่สำคัญ คือเรื่องของการใช้แผนที่คนละฉบับ และกัมพูชาไม่ให้ความสำคัญการเจรจาทวิภาคี แต่จะใช้การฟ้องศาลโลก อย่างเดียว แบบที่เคยใช้ในกรณีเขาพระวิหาร ที่ไทยเคยเสียเปรียบมาแล้ว และนั้นคือประวัติศาสตร์ ที่จะต้องไม่ซ้ำรอยเดิม เรื่องนี้รัฐบาลถูกประชาชน มองว่ามีนโยบายต่อกัมพูชา แบบหน่อมแน้ม เหมือนกับผู้นำรัฐบาล มีความเกรงอกเกรงใจ ผู้นำของกัมพูชา โดยเฉพาะกระทรวงการต่างประเทศ ที่ถูกมองว่ามีบทบาทที่น้อยไปหน่อย กับเรื่องของการรุกล้ำดินแดนไทย ของกัมพูชา ประชาชนส่วนใหญ่ จึงมีท่าที ที่ด้อยค่า กับรัฐบาล และให้เครดิตกับกองทัพ นี่คือประเด็น ที่รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง และเสนาบดีกระทรวงกลาโหม อย่าง ภูมิธรรมเวชยชัย ต้องสำเหนียก และต้องมีการสื่อสาร ถึงข้อเท็จจริงระหว่าง รัฐบาล กับประชาชน ให้มากกว่าที่ผ่านมา กัมพูชา ไม่มีด้านไหน ที่จะเหนือกว่าไทยไม่ว่าจะเป็นเรื่องการทหาร เรื่องเศรษฐกิจ ซึ่งรัฐบาลไม่จำเป็น ที่จะต้องหงอให้กับเขมร หรือกัมพูชา และในข้อเท็จจริง ผู้นำของเขมร หรือกัมพูชา ทุกยุคทุกสมัย ก็มองประเทศไทยอย่างมีอคติ ไม่เป็นมิตรมาโดยตลอด...■■ ดังนั้นวิกฤตแนวชายแดน ที่เกิดขึ้นตั้งแต่การที่ทหารของกัมพูชา บุกเข้ามาเผาศาลาตรีมุขที่กองทัพภาคที่ 2 สร้างไว้ ในดินแดนของไทยรวมทั้งการส่งทหารเข้ามาขุดคูเลต ในพื้นที่ของประเทศไทยจนมีการยิงปะทะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคมที่ผ่านมา จึงเป็นหนทางที่รัฐบาลต้องมี
การเจรจาอย่างแตกหัก เพื่อยุติปัญหาของการบุกรุกแนวชายแดนทั้งในบริเวณปราสาทตาเมือนธม และอีกสามปราสาท ในชายแดน อำเภอพนมดงรักจังหวัดสุรินทร์ และการบุกรุก ในเขตแดนของ อ.น้ำยืนทุกจุด ในจังหวัดอุบลราชธานี ต้องเจรจาให้จบในรัฐบาลของ แพทองธาร ชินวัตร และต้องมีความชัดเจน ว่าปัญหาการรุกล้ำดินแดนไทยของกองทัพกัมพูชา ต้องแก้ด้วยการพูดคุย ตามกลไกของทวิภาคี โดยประเทศไทย ไม่ยอมรับการใช้ศาลโลก
เป็นผู้ตัดสิน เพราะศาลโลกเป็นศาลการเมือง ที่ไม่มีความเที่ยงธรรม และไม่มีกฎหมายบังคับ ว่าต้องทำตามที่ศาลโลกตัดสิน...■■
ปรีชา สถิตย์เรืองศักดิ์
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี