บนบานขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยทำให้น้ำกลับมาสดใส เกษตรกรริมแม่น้ำกกจัดพิธีเลี้ยงผีฝาย ชาวนาหวั่นสารพิษปนเปื้อนข้าวซ้ำเติมทุกข์อีกปีหลังข้าวราคาตก-คนหาปลาเผยอาการผิดปกติของสัตว์น้ำ-อ่อนแออย่างเห็นได้ชัด
เมื่อวันที่ 13 มิถุนายน 2568 ที่สำนักงานโครงการสูบน้ำด้วยไฟฟ้าสถานีสูบน้ำบ้านฟาร์ม ต.รอบเวียง อ.เมือง จ.เชียงราย เกษตรกรกลุ่มผู้ใช้น้ำกกฝายเชียงราย (ป่ายางมน) ได้จัดให้มีพิธีเลี้ยงผีฝาย และมีการล้อมวงแลกเปลี่ยนเรื่องน้ำกกปนเปื้อนกับอนาคตการเกษตรเชียงราย โดยมี ดร.สืบสกุล กิจนุกร นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และ ผศ.ดร.เสถียร ฉันทะ นักวิชการจากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงราย ร่วมให้ความรู้
นายปฐมพงษ์ ฤทธิแผลง ประธานเครือข่ายเกษตรกรรมลุ่มน้ำกก เขื่อนเชียงราย ฝั่งขวาที่ 1 เปิดเผยว่า ปกติในทุกๆปีชาวบ้านจะจัดพิธีกรรมบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์และเลี้ยงผีฝาย เพื่อขอให้น้ำท่าบริบูรณ์และได้ผลผลิตดี แต่ในปีนี้ต้องขอเป็นพิเศษคือให้แม่น้ำกกกลับมาสดใสเหมือนเดิม และไม่ปนเปื้อนสารพิษ เพราะชีวิตของชาวบ้านต้องพึ่งพาแม่น้ำกกแทบทุกเรื่อง ซึ่งพื้นที่ทำเกษตรกรรมฝั่งขวานี้มี 5.8 หมื่นไร่ ส่วนใหญ่ทำนา แม้ว่าล่าสุดผู้ว่าราชการจังหวัดได้มาลงพื้นที่และยืนยันว่าน้ำกกสามารถทำนาได้ แต่เกษตรกรก็ยังวิตกอยู่ดีเพราะในแม่น้ำกกยังมีสารโลหะหนักปนเปื้อนเกินมาตรฐาน เกษตรกรส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเรื่องมาตรฐานต่างๆจึงอยากให้นักวิจัยหรือนักวิชาการเข้ามาช่วยให้ความรู้
นายคำอ้าย สุขเกษม ชาวนาริมแม่น้ำกก กล่าวว่า แม้การทำนาในปัจจุบันจะใช้เครื่องจักรและอยู่บนรถ แต่ก็ต้องสัมผัสน้ำอยู่ดี ดังนั้นพวกตนจึงต้องหาวิธีป้องกัน เช่น ใส่รองเท้าบูทที่สูงขึ้น แต่สิ่งที่ชาวนารู้สึกกังวลใจที่สุดคือกลัวในเรื่องสารพิษตกค้างในข้าว เพราะเราต้องกินข้าวทุกมื้อ เราไม่กินปลาในแม่น้ำกกแล้วทุกวันนี้ แต่เราไม่กินข้าวไม่ได้ ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีหน่วยงานด้านการเกษตรมาแนะนำอะไรเลย ตนเองก็ไม่รู้ว่าดินที่ทำนาอยู่นั้น มีสารพิษปนเปื้อนอยู่หรือไม่ เพราะยังไม่เคยมีใครมาตรวจ ซึ่งเมื่อน้ำกกหลากท่วมครั้งที่แล้วมีดินโคลนไหลมากับน้ำท่วม และมีลักษณะที่เหนียวผิดปกติ ตอนนี้ดินเหล่านั้นได้ปนกับดินในนาไปทั้งหมดแล้ว
“ปีที่ผ่านมาข้าวราคาตก พวกเราก็ลำบากกันอยู่แล้ว ปีนี้ยังมาโดนเรื่องสารพิษ สารโลหะหนักในแม่น้ำกกอีก หากปลูกข้าวไปแล้วขายไม่ได้อีก พวกเราจะทำอย่างไร” นายคำอ้าย กล่าว
นายสมพงษ์ ดวงวงษา ชาวประมงและชาวนา ต.ดงมหาวัน อ.เวียงเชียงรุ้ง จ.เชียงราย กล่าวว่า กล่าวว่าปีนี้ปลาในแม่น้ำกกมีมากเพราะไม่มีคนจับ เนื่องจากกลัวการปนเปื้อนของสารพิษ ในอดีตปลาแม่น้ำกกถือว่าเป็นปลาที่อร่อยที่สุดเพราะแม่น้ำกกมีความอุดมสมบูรณ์ แต่ปัจจุบันแม้หาได้ก็ไม่มีคนซื้อ ซึ่งตนเองก็เห็นถึงความผิดปกติของสัตว์น้ำที่จับได้ ทั้งปลาบู่ ปลาช่อน ซึ่งปกติเป็นปลาที่ทนและนำมาขังไว้ได้เป็นสัปดาห์ แต่เดี๋ยวนี้นำมาขังไว้ 2 วันก็ตายแล้ว เช่นเดียวกับปูเมื่อติดอวนเดี๋ยวนี้ตายและขาหลุดง่าย แม้กระทั่งหอยเชอรี่ที่เคยเก็บไว้ได้นานๆก็ตายง่ายเช่นเดียวกัน
“ผมรู้สึกเหมือนว่า เดี๋ยวนี้สัตว์น้ำเหล่านี้ไม่ค่อยแข็งแรง ผมเองก็ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร เช่นเดียวกับข้าวงอกที่เราเพาะไว้ หากเราใช้น้ำกก ข้าวจะงอกแบบหงิกๆงอๆใช้ได้ไม่ถึงครึ่ง แตกต่างจากข้าวงอกที่เอาน้ำจากที่อื่นมาซึ่งขึ้นเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์” นายสมพงษ์ กล่าว
นางพิมพร ใจยม ชาวนาหมู่ 6 ต.เมืองชุม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย กล่าวว่า นาบางแปลงได้ปลูกข้าวอินทรีย์ทำให้รู้สึกเป็นกังวลว่า หากมีสารพิษปนเปื้อนผลผลิตก็ไม่สามารถขายได้ เพราะน้ำที่ใช้คือน้ำจากแม่น้ำกก แม้จะมีบ่อพักน้ำ แต่ก็ยังไม่มั่นใจ
ดร.สืบสกุล กิจนุกร กล่าวว่า จากการพูดคุยกับเกษตรกรพบว่าส่วนใหญ่ตกอยู่ในสภาพที่ต้องช่วยเหลือตัวเองเป็นหลัก เพราะขณะนี้มาตรการต่างๆของภาครัฐยังไม่ชัดเจน โดยเฉพาะหากอนาคตพบว่าผลผลิตของเกษตรกรปนเปื้อนเนื่องจากการใช้น้ำกก การลงทุนของชาวบ้านก็ต้องเสียเปล่าแล้วพวกเขาจะทำอย่างไร ชาวนาบางส่วนเสนอให้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำนา เช่น ใช้เมล็ดพันธุ์ที่ใช้น้ำน้อย หรือทำนาที่ลดการใช้น้ำ
“แม้มีข้อเสนอกันอย่างหลากหลาย แต่สิ่งหนึ่งที่ทุกคนเข้าใจคือการแก้ปัญหาเหล่านี้เป็นการแก้ที่ปลายเหตุ เพราะต้นเหตุคือเหมืองแร่ในประเทศพม่า จึงอยากให้รัฐบาลหาวิธีปิดเหมืองแร่ให้ได้” นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง กล่าว
ดร.สืบสกุล กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบางควรทำสำหรับภาคเกษตรกรรมคือ ควรเปิดเผยแผนการตรวจน้ำ ดินและผลผลิตทางการเกษตรในลุ่มน้ำทั้งหมดให้ชาวบ้านได้เข้าไปมีส่วนร่วม นอกจากนี้ควรทำแผนที่พื้นที่ความเสี่ยง เพราะมีพื้นที่เกษตรกรรมในเชียงรายอยู่นับแสนไร่ ควรจัดทำแผนที่ห่วงโซ่เกษตรกรรม เพื่อที่จะสามารถย้อนกลับมาดูได้หากในอนาคตเกิดปัญหาและพบการปนเปื้อนของสารโลหะหนัก
ผช.ดร.เสถียร ฉันทะ กล่าวว่า ประเด็นเรื่องสารพิษ เกษตรกรอาจไม่รู้ว่ามีผลกระทบกับตัวเองอย่างไรบ้าง เพราะขณะนี้ยังไม่ได้เกิดผลร้ายให้เห็นในทันที โดยสารโลหะหนักที่พบเกินค่ามาตรฐานในน้ำกกคือสารหนู แต่แม่น้ำสายพบทั้งสารหนูและสารตะกั่ว โดยทั้งหมดมาจากเหมืองแร่ในพม่า ซึ่งสารหนูเป็นพิษและเป็นสารก่อมะเร็ง ตอนนี้เราอาจไม่เห็น แต่อีก 5 ปีอาจจะออกป่วยได้ สิ่งที่น่าห่วงคือเกษตรกรจะป้องกันได้อย่างไร และพืชผลหากตรวจพบสารปนเปื้อนจะทำให้ขายผลผลิตไม่ได้ แล้วจะทำอย่างไร
“ทางการบอกให้หลีกเหลี่ยงการใช้น้ำกก แต่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ ก็ต้องหาวิธีป้องกันคือใส่อุปกรณ์ต่าง การปนเปื้อนในภาคเกษตรที่หน่วยงานราชการเก็บตัวอย่างน้ำ ดินและผลผลิตการเกษตรไปนั้น เขาไม่ได้เปิดเผยข้อมูลทั้งหมดว่า เก็บกี่ครั้ง เก็บที่ไหนบ้าง เก็บอะไร เพียงแต่บอกแค่ผลตรวจ ขณะที่การจะฟื้นฟูแม่น้ำนั้นจะสามารถทำได้ก็ต่อเมื่อหยุดแหล่งปล่อยสารพิษที่ต้นน้ำก่อน แล้วค่อยฟื้นฟู ซึ่งไม่รู้ว่า 10 ปีจะฟื้นฟูหมดหรือไม่ ตอนนี้รัฐบาลได้แต่พยายามไปเจรจา”ผศ.ดร.เสถียร กล่าว
ทั้งนี้ ตัวแทนเกษตรกรได้แสดงความเป็นกังวลเรื่องพืชผลทางการเกษตรที่อาจขายไม่ได้หากพบมีการปนเปื้อนของสารพิษ ดังนั้นจึงอยากให้หน่วยงานราชการเข้ามาตรวจสอบดิน น้ำ และตัวอย่างของพืชผักที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะมีการทำนา เพราะต้องลงทุนลงแรง จึงเป็นห่วงว่าจะสูญเปล่า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี