รัฐบาลย้ำ “เมาแล้วขับ” มีโทษเพิ่ม ชงอัยการ เพิ่มข้อหา-ริบรถของกลาง ด้านนักวิชาการเห็นด้วยให้ริบรถ ไม่ให้กระทำผิดซ้ำอีก หากเป็นรถผู้อื่นให้ยืม ต้องดูว่าเจ้าของรถรู้เห็นให้คนเมาไปขับหรือไม่
เมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า รัฐบาลตระหนักถึงสถานการณ์ความไม่ปลอดภัยบนท้องถนนที่ส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สินของประชาชนเป็นจำนวนมาก โดยสาเหตุสำคัญส่วนหนึ่งมาจากการขับขี่ยานพาหนะในขณะเมาสุรา สำนักงานอัยการสูงสุดจึงกำหนดแนวทางปฏิบัติของอัยการในการพิจารณาสำนวนคดีผู้ขับรถขณะเมาสุราแล้วก่อให้เกิดอันตรายต่อชีวิต ร่างกาย หรือทรัพย์สินของผู้อื่น เพื่อให้การดำเนินคดี เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และสอดคล้องกับสถานการณ์ความปลอดภัยทางถนนในปัจจุบัน โดยสาระสำคัญ คือให้อัยการพิจารณาว่าพฤติการณ์ในการขับรถขณะเมาสุราของผู้ต้องหาที่ถูกดำเนินคดีมีลักษณะเป็นการขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.จราจรทางบก พ.ศ.2522 มาตรา43(8) ด้วยหรือไม่ หากพิจารณาแล้วเห็นว่าผู้ต้องหาได้ขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือดร้อนของผู้อื่นอันเป็นความผิดดังกล่าวและยังมิได้แจ้งข้อหาให้อัยการสั่งให้พนักงานสอบสวนแจ้งข้อหาดังกล่าวเพิ่มเติมและการฟ้องคดีต่อศาลให้อัยการขอให้ศาลสั่งริบรถของกลางด้วย
“รัฐบาลขอย้ำเตือนประชาชนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้รถใช้ถนนอย่างมีวินัย ไม่ประมาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้หลีกเลี่ยงการขับรถในขณะเมาสุรา เพื่อความปลอดภัยของตนเองและผู้อื่นขณะนี้หน่วยงานด้านความมั่นคง ได้ปรับแนวทางปฏิบัติเรื่องการดำเนินคดีแก่ผู้ขับขี่ยานพาหนะขณะเมาสุรา โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัดกับผู้ที่ฝ่าฝืน เพื่อยกระดับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน และให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพ” นายคารม กล่าว
ด้าน รศ.ดร.ปกป้อง ศรีสนิท คณบดีคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า เห็นด้วยกับการเพิ่มข้อกล่าวหาผู้เมาแล้วขับ เนื่องจากผู้ที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองเมาเกินกว่าที่กฎหมายกำหนดแล้วยังขับรถ ย่อมแสดงถึงเจตนาอย่างชัดเจนที่จะฝ่าฝืนกฎหมาย โดยหลักการจึงสามารถริบรถได้ เห็นด้วยหากศาลอาจจะมีคำสั่งริบรถของคนที่เมาแล้วขับ เพราะการริบทรัพย์เป็นการริบเพื่อไม่ให้เขาไปทำผิดอีกในอนาคต แต่โดยหลักการแล้วต้องไม่เอามาใช้เป็นกรณีทั่วๆ ไป มันต้องอยู่บนหลักพื้นฐานของการลงโทษที่ได้สัดส่วนและมีเหตุจำเป็น ยกตัวอย่างการริบรถคนเมาแล้วขับในประเทศฝรั่งเศสก็จะริบเฉพาะกรณีร้ายแรง เช่น กระทำผิดซ้ำ หรือเมาแล้วขับจนก่อให้เกิดอุบัติเหตุมีคนตายหรือบาดเจ็บ เป็นต้น
รศ.ดร.ปกป้อง กล่าวต่อว่า การยกระดับมาตรการความรุนแรงทางกฎหมายเพื่อแก้ไขปัญหาเป็นสิ่งที่กระทำได้ แต่ในเชิงทฤษฎีแล้วหากไม่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง แม้กฎหมายจะมีโทษรุนแรงเพียงใดคนก็จะไม่เกรงกลัว ฉะนั้นต่อให้เราเพิ่มโทษริบรถหรือเพิ่มโทษปรับเป็นร้อยเท่า สองร้อยเท่า แต่ถ้าไม่มีการบังคับใช้กฎหมาย ไม่มีการจับ การปรับจริงๆ หรือยังปรากฏการให้สินบนเจ้าหน้าที่ หรือมีการขอให้ล้มคดี ขอให้ปล่อยตัวคนเมาแล้วขับ ที่สุดแล้วก็จะไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมาย ฉะนั้นหัวใจสำคัญของเรื่องนี้จึงไม่ใช่การเพิ่มโทษ แต่อยู่ที่การบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง จึงควรกำหนดให้ตำรวจที่ตั้งด่านติดกล้องขณะปฏิบัติหน้าที่ เพื่อสร้างความโปร่งใสในการทำหน้าที่และคุ้มครองเจ้าหน้าที่ ซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต และจะทำให้การบังคับใช้กฎหมายเมาแล้วขับมีประสิทธิภาพมากขึ้น
“กรณีผู้กระทำความผิดโดยไม่ได้ใช้รถของตนเองหากพบว่าทรัพย์นั้นเป็นของคนอื่นที่ไม่ได้รู้เห็นเกี่ยวกับการกระทำความผิด เจ้าของทรัพย์สามารถขอคืนทรัพย์หรือรถคันดังกล่าวได้ แต่หากบุคลคลผู้เป็นเจ้าของรถให้ยืมรถโดยรู้ว่าผู้ที่ยืมมีอาการเมา และจะนำรถไปขับ กรณีเช่นนี้จะสามารถริบรถได้ เพราะถือว่ามีส่วนรู้เห็นกับการที่ผู้อื่นเมาแล้วขับ แล้วได้กระทำความผิด รายละเอียดเหล่านี้คือหลักกฎหมายที่มีอยู่เดิมแล้ว ไม่ต้องไปแก้ไขหรือปรับปรุงเพิ่มเติม” รศ.ดร.ปกป้อง กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี