ครบ 90 วัน นัดเจรจาสหรัฐฯ ไทยอย่าพลาดโอกาสสำคัญทางเศรษฐกิจ
ในขณะที่สื่อและสังคมไทยกำลังหันเหความสนใจไปยังความสัมพันธ์ตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา หรือการปรับคณะรัฐมนตรีที่จะส่งผลต่อเสถียรภาพภายในประเทศ มีอีกประเด็นที่กำลังใกล้ครบกำหนดอย่างเงียบๆ แต่สำคัญยิ่งต่ออนาคตเศรษฐกิจของประเทศไทย นั่นคือการเจรจาการค้ากับสหรัฐอเมริกา ซึ่งกำลังจะครบกำหนดผ่อนผันระยะเวลา 90 วันในวันที่ 8 กรกฎาคม 2568 นี้
การเจรจากับสำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) เป็นผลจากมาตรการตรวจสอบการค้าและมาตรการภาษีตอบโต้ที่อาจเกิดขึ้นภายใต้กฎหมายมาตรา 301 ของสหรัฐฯ หากไทยไม่สามารถตอบสนองข้อเรียกร้องหรือจัดทำข้อตกลงร่วมที่เหมาะสม สินค้าส่งออกของไทยมีความเสี่ยงที่จะถูกตั้งกำแพงภาษีสูงถึง 36% ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกโดยรวม โดยเฉพาะกลุ่มอุตสาหกรรมที่พึ่งพาตลาดอเมริกา เช่น อิเล็กทรอนิกส์ ชิ้นส่วนรถยนต์ สิ่งทอ และอาหารแปรรูป
ในบริบทของเศรษฐกิจโลกที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์จากวิกฤตโควิด-19 รวมถึงความเปราะบางจากภาวะภูมิรัฐศาสตร์ที่ไม่แน่นอน การสูญเสียตลาดใหญ่อย่างสหรัฐฯ หรือเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมจากข้อตกลง จะกลายเป็นแรงกดดันต่อเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยอย่างมหาศาล
#แรงกดดันเปิดตลาดเนื้อหมู ประเด็นที่ไทยต้องไม่ประมาท
หนึ่งในประเด็นที่สหรัฐฯ ยื่นข้อเรียกร้องและกดดันไทยมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน คือการเปิดตลาดนำเข้า "เนื้อหมูและเครื่องในจากสหรัฐอเมริกา" โดยอ้างหลักการการค้าเสรี แต่แท้จริงแล้ว เป็นยุทธศาสตร์ที่สหรัฐฯ ใช้ในการระบายผลผลิตล้นตลาดและขยายอิทธิพลทางการค้า รัฐบาลไทยต้องตระหนักว่า "หมู" ไม่ใช่เพียงสินค้าเกษตรทั่วไป แต่เป็นเสาหลักของอุตสาหกรรมปศุสัตว์ไทยที่สร้างรายได้สำคัญให้กับเกษตรกรรายย่อยและระบบเศรษฐกิจชนบท หากไทยยอมเปิดตลาดโดยไม่มีกลไกป้องกันผลกระทบในประเทศ สินค้าเหล่านี้ซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าและได้รับการอุดหนุนจากรัฐบาลสหรัฐฯ จะเข้ามาแย่งพื้นที่ตลาดทันที กดราคาหมูไทยให้ตกต่ำ สร้างผลกระทบเป็นลูกโซ่ต่อผู้เลี้ยงหมู ชาวไร่ข้าวโพด ไปจนถึงแรงงานในภาคเกษตรกรรม
ยิ่งไปกว่านั้น การนำเข้าเนื้อหมูจากบางรัฐในสหรัฐฯ อาจมีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เช่น การใช้สารเร่งเนื้อแดง (Ractopamine) ซึ่งไทยมีกฎหมายห้ามใช้ เพราะจะนำไปสู่ความเสี่ยงด้านสาธารณสุขและความเชื่อมั่นของผู้บริโภค การยอมรับเงื่อนไขให้นำเข้าสินค้าเหล่านี้ในปริมาณมาก ไม่เพียงแต่จะทำลายโครงสร้างตลาดภายในและราคาสินค้าเกษตรของไทยเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความมั่นคงทางอาหารในระยะยาว เสี่ยงต่อการเกิดโรคในสัตว์ ความไม่สมดุลของห่วงโซ่อุปทาน และการพึ่งพิงต่างประเทศเกินจำเป็น
ในขณะนี้ ทีมเจรจาของไทยต้องตระหนักว่ากำลังทำหน้าที่เป็นผู้แทนของผลประโยชน์ของประเทศทั้งหมด การเร่งเสนอเงื่อนไขเพื่อป้องกันการเสียสิทธิประโยชน์ทางภาษี ต้องมาพร้อมกับการปกป้องโครงสร้างเศรษฐกิจภายในที่เปราะบาง โดยเฉพาะภาคเกษตรกรรม
หากสหรัฐฯ เรียกร้องให้ไทยเปิดตลาดสินค้านำเข้า ทีมเจรจาควรพิจารณาข้อเสนอทางเลือกที่ไม่กระทบต่อฐานการผลิตของประเทศ เช่น ผลไม้เมืองหนาว อย่างเชอรี่ แอปเปิล บลูเบอร์รี่ ซึ่งไทยไม่สามารถผลิตได้ในเชิงพาณิชย์ เครื่องมือแพทย์ และเวชภัณฑ์เฉพาะทางซึ่งมีเทคโนโลยีสูงและไทยยังพึ่งพาการนำเข้า สินค้าเทคโนโลยีเช่นชิ้นส่วนอากาศยาน ซอฟต์แวร์ หรือเทคโนโลยีด้านพลังงานสะอาด หรืออาวุธยุทโธปกรณ์และระบบความปลอดภัย ที่จำเป็นต่อการพัฒนาโครงสร้างความมั่นคงแห่งชาติ
การนำเข้าสินค้าดังกล่าวนอกจากจะช่วยลดแรงกดดันทางการเมืองระหว่างประเทศแล้ว ยังเปิดโอกาสให้ไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี และเพิ่มมูลค่าการค้าในภาคส่วนที่ยังไม่เข้มแข็งด้วย
การเจรจาการค้าไทย–สหรัฐในครั้งนี้ถือเป็น "สนามทดสอบยุทธศาสตร์ชาติ" ในยุคที่ความเปลี่ยนแปลงรวดเร็วและไร้ความแน่นอน รัฐบาลและสังคมไทยต้องไม่ปล่อยให้ประเด็นการเมืองภายในบดบังภารกิจที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งในปีนี้ คงต้องฝากทีม Thailand มองเกมใหญ่รักษาผลประโยชน์เชิงโครงสร้าง และใช้โอกาสนี้เพื่อวางรากฐานเศรษฐกิจอย่างรอบคอบและยั่งยืน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี