ไม่กลัวกฎหมาย! แก๊งวัยรุ่น ‘สาดกระสุน’ ใส่รถกลางเมืองเพชรบูรณ์ ก่อนอุ้มรุมซ้อมกลางตลาด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีมีเพจข่าวดังนำเสนอคลิป แจ้งว่าได้รับร้องเรียนจากลูกเพจว่า เกิดเหตุการณ์สุดอุกอาจกลางเมืองเพชรบูรณ์ เมื่อกลุ่มวัยรุ่นก่อเหตุใช้อาวุธปืนยิงใส่รถยนต์กลางสวนสาธารณะ ‘หนองนารี’ ก่อนจะอุ้มชายคนหนึ่งมารุมทำร้ายกลางตลาดโพจันทร์ ท่ามกลางสายตาประชาชน พร้อมมีคลิปว่อนโซเชียล จนเกิดเสียงวิจารณ์ดุเดือดและความตื่นตระหนกไปทั้งเมือง

ในคลิปเหตุการณ์ปรากฏภาพชายวัยรุ่นนั่งอยู่กับพื้น ถูกล้อมด้วยกลุ่มชาย 4-5 คน หนึ่งในนั้นเตะเสยเข้าหน้าผู้เคราะห์ร้ายอย่างจัง โดยไม่มีใครเกรงกลัวกฎหมาย เสียงหญิงสาวในเหตุการณ์ร้องตกใจ ขณะที่คลิปนี้ถูกแชร์ไปทั่ว พร้อมคำถามว่า ‘เกิดอะไรขึ้นกับเมืองเพชรบูรณ์?’

หลังคลิปเผยแพร่ออกไป สังคมออนไลน์เดือดพล่าน ชาวบ้านต่างวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักว่า ‘แบบนี้ไม่ใช่บ้านเมืองแล้ว มันคือบ้านป่าเมืองเถื่อน!’ และ ‘จะยิงใส่รถ แล้วยังอุ้มเขามารุมทำร้ายอีก แบบนี้ใครจะอยู่กันได้?’

ขณะเดียวกัน อีกฝ่ายซึ่งอ้างว่าเป็นกลุ่มใกล้ชิดกับผู้ก่อเหตุรุมซ้อม โต้กลับว่า รถของพวกเขาถูกยิงก่อนโดยวัยรุ่นอีกกลุ่ม ซึ่งเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด พร้อมเผยภาพร่องรอยกระสุนทะลุกระจก ชี้มีเด็กอยู่ในรถแต่รอดหวุดหวิด

หนึ่งในคนรู้จักของกลุ่มผู้ก่อเหตุให้ข้อมูลว่า วัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวไปนั่งเล่นที่สวนหนองนารี แต่กลับถูกยิงใส่รถหลายนัด ขณะกำลังจะกลับบ้าน หลังจากนั้นจึงตามหาคู่กรณี จนเจอตัวชายคนหนึ่งที่สงสัยว่าเป็นคนยิง พยายามสอบถามแต่ชายคนนั้นพูดวกไปวนมา ก่อนจะเกิดเหตุเตะหน้าขึ้น

ล่าสุด สภ.เมืองเพชรบูรณ์ เปิดเผยว่า ชายที่ถูกรุมทำร้ายไม่ใช่ผู้ที่ยิงปืน และทางเจ้าหน้าที่สามารถควบคุมตัวผู้ก่อเหตุทั้งสองฝ่ายได้แล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยผู้ต้องสงสัยที่ยิงรถก็ถูกระบุชื่อแล้ว และอยู่ระหว่างติดตามตัว เจ้าหน้าที่กำลังเร่งสอบสวนอย่างรอบด้าน เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำ ขณะที่ชาวบ้านยังรู้สึกไม่ปลอดภัยจากเหตุรุนแรงที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง

เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาหลายมิติ ทั้งความรุนแรงในกลุ่มเยาวชน การพกพาอาวุธ และความไม่ไว้วางใจในระบบยุติธรรม ขณะเดียวกันก็เป็นอุทาหรณ์สำหรับผู้เสพข่าวในยุคโซเชียล ที่เนื้อหาถูกแชร์อย่างรวดเร็ว แต่ไม่ครบถ้วน ‘อย่าด่วนตัดสินจากคลิปเพียงด้านเดียว เพราะความจริงอาจมีมากกว่าที่เห็น’

เรื่องนี้ยังไม่จบ และสังคมยังรอคำตอบว่า ความยุติธรรมจะตามทันเหตุการณ์หรือไม่ หรือจะปล่อยให้ ‘คลิปเตะหน้า’ กลายเป็นสัญลักษณ์แห่งความอ่อนแอของกระบวนการยุติธรรมอีกครั้ง ///-026