ยังคงมีฤทธิ์เดช สำหรับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่โทร.ตุ๋นเหยื่อ แม้ว่าจะถูกปราบปรามอย่างหนักหน่วงในช่วงก่อนหน้านี้ โดยรัฐบาลไทยงัดไม้แข็ง ตัดไฟ-ตัดอินเตอร์เน็ต ในประเทศเพื่อนบ้าน สกัดกั้นช่องทาง อุดช่องโหว่ แต่แล้วพอขบวนการเหล่านี้ตั้งหลักได้ ก็พากันหาสถานที่ตั้งใหม่ ก็เริ่มกลับมาอาละวาดอีกครั้ง
ขบวนการเหล่านี้จะไม่ดำเนินการได้สะดวกโยธิน หากไม่มีผู้ที่คอยให้ความร่วมมือ โดยเฉพาะคนไทยที่เข้าไปร่วมขบวนการ ทั้งที่เต็มใจและถูกหลอกลวง
ตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือกรณีที่ พล.ต.ต.อธิป พงษ์ศิวาภัย ผู้บังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ บก.ปอท.นำกำลังจับกุมผู้ต้องหา 31 ราย ซึ่งพบว่าเป็นคนไทย 18 ราย ที่เหลือ 13 ราย เป็นชาวจีน ยึดทรัพย์สินต่างๆ รวมมูลค่ากว่า 6 ล้านบาท
สำหรับพฤติการณ์หลอกลวง ยังเป็นมุกเดิมๆ โดยอาศัยจุดอ่อนหรือความสนใจของเหยื่อ เช่น การหางานเสริมผ่านช่องทางออนไลน์ หลอกให้ช่วยโปรโมทสินค้า หลอกให้ร่วมทำกิจกรรม ซึ่งอ้างว่าจะได้รับเงินส่วนแบ่ง แต่กลับถูกให้โอนเงินค่าแรกเข้า และให้โอนเงินเพิ่มอีกหลายครั้ง กว่าเหยื่อจะรู้ตัวว่าถูกหลอก ก็สูญเงินไปเป็นจำนวนมากแล้ว
อีกพฤติการณ์ที่พบบ่อยๆ คือการให้หน้าม้าชักชวนเหยื่อนำเงินมาร่วมลงทุนในธุรกิจที่อ้างว่ามีผลตอบแทนดี ซึ่งระยะแรกก็มีการขุดบ่อล่อปลา ให้เหยื่อตายใจโดยมีเงินโอนคืนให้จริง แต่หลังจากนำเงินมาลงทุนเพิ่ม ก็จะไม่ได้รับเงินคืนกลับมาอีก จนขาดการติดต่อ ไม่สามารถติดต่อได้ เหยื่อรู้ตัวก็สายไปแล้ว
กรณีการบุกทลายคอกม้าของตำรวจ บก.ปอท.นั้น เนื่องจากเจ้าหน้าที่สืบทราบว่า คนร้ายใช้บ้านพักตากอากาศแห่งหนึ่งในพื้นที่หมู่ 4 ต.บ้านฉาง อ.บ้านฉาง จ.ระยอง เป็นที่กักขังตัวเจ้าของบัญชีม้า ยึดอุปกรณ์สื่อสารทั้งหมดไม่ให้ติดต่อกับบุคคลภายนอก จากนั้นจึงคอยควบคุมตัว บังคับให้ทำตามคำสั่ง หากขัดขืนจะถูกทำร้ายร่างกาย ก่อนจะพาไปเปิดบัญชีธนาคาร เมื่อมีเงินจากเหยื่อโอนเข้ามา ก็จะคุมเจ้าของบัญชีม้า ไปถอนเงินสด หรือกระจายกันไปกดเงินสดจากตู้เอทีเอ็ม
เจ้าหน้าที่ค่อยๆ แกะรอย จนสามารถขอให้ศาลออกหมายจับผู้ต้องหาในส่วนที่เป็นผู้ดูแลคอกม้า ก่อนจะขยายผลไปได้ทั้งขบวนการ นับตั้งแต่ผู้ต้องหาระดับสั่งการ ผู้ต้องหาที่ร่วมกันฟอกเงิน และรับผลประโยชน์จากการกระทำผิด แยกเป็นกลุ่มๆ ที่เกี่ยวข้องในแต่ละส่วน พิจารณาดำเนินคดีในข้อหาต่างกัน
ทั้งนี้ กระบวนการที่จะช่วยตัดตอนแก๊งดังกล่าว ที่สำคัญคือการจัดการกับคนไทย ที่ยังคงเห็นแก่ผลประโยชน์ หลงผิดไปรับเงินกลุ่มจีนเทา ที่เข้ามาตั้ง ‘คอกม้าจีนเทา’ โดยใช้คนไทยเป็นเครื่องมือ
ดังนั้นแนวทางที่จะช่วยแก้ปัญหา หน่วยงานภาครัฐต้องเร่งลดจำนวนบัญชีม้า ธนาคารควรเข้มงวดในการเปิดบัญชีให้มากขึ้น ตรวจสอบตัวตนและที่มาของรายได้ผู้ที่เป็นเจ้าของบัญชี ออกระบบแจ้งเตือนและระงับบัญชีต้องสงสัยอัตโนมัติ เพิ่มโทษผู้เปิดบัญชีโดยสมัครใจให้ผู้อื่นใช้บัญชีม้า ใช้เทคโนโลยี AI วิเคราะห์ความเชื่อมโยงของบัญชีธนาคาร
นอกจากนี้ต้องใช้มาตรการยึดทรัพย์เครือข่าย แก้ไขช่องโหว่ช่องว่างทางกฎหมาย โดยปรับแก้กฎหมายฟอกเงิน ให้ครอบคลุมพฤติการณ์ที่เกี่ยวพันกับการกระทำผิดทั้งขบวนการ
สิ่งที่ต้องทำเพิ่ม คือการสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยทำ MOU กับประเทศเพื่อนบ้าน และจีน เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลบัญชีผู้กระทำผิด ใช้ระบบติดตามการโอนเงินระหว่างประเทศที่มีการ แสดงความโปร่งใสต่อหน่วยงานรัฐ รณรงค์ให้ความรู้กับประชาชน จัดแคมเปญ ‘หยุดบัญชีม้า’ ให้ตระหนักว่าการกระทำดังกล่าวมีโทษทั้งทางแพ่งและอาญา รวมทั้งส่งเสริมการใช้บัญชีพร้อมเพย์ที่ผูกกับบัตรประชาชน เพื่อยากต่อการปลอมแปลงได้
‘คอกม้าจีนเทา’ คือปรากฏการณ์ของอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ใช้ไทยเป็นฐานปฏิบัติการ โดยอาศัยประชาชนไทย เป็นเครื่องมือผ่านการเปิดบัญชีและกดเงิน สร้างความเสียหายเป็นวงกว้าง แนวทางแก้ไขที่ยั่งยืน ต้องครอบคลุมทั้งด้านกฎหมาย การเงิน เทคโนโลยี และความร่วมมือระหว่างประเทศ พร้อมทั้งปลูกจิตสำนึกในสังคม ไม่ให้เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายดังกล่าว
ทีมข่าวแนวหน้า
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี