ศาลเรียก ‘วิษณุ’ แจง 30 ก.ค.นี้ 'หมอวรงค์' ชี้ 'ราชทัณฑ์'เบิกความไม่ตรงทีมแพทย์

ศาลเรียก ‘วิษณุ’ แจง 30 ก.ค.นี้ 'หมอวรงค์' ชี้ 'ราชทัณฑ์'เบิกความไม่ตรงทีมแพทย์

วันศุกร์ ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2568, 17.18 น.

'ชาญชัย'เผย ศาลเรียก 'วิษณุ' เบิกความ 30 ก.ค. นี้ ชี้ พบพิรุธใหญ่แพทย์ไม่รู้จ่ายยาอะไร ใกล้ปิดเกม ด้าน 'หมอวรงค์' ลั่น " ราชทัณฑ์เบิกความไม่ตรงทีมแพทย์ " เตรียมยกธงขาวได้เลย ด้านหมอตุลย์ตั้งข้อสงสัย เหตุใดไม่ส่งตัวทักษิณไปที่ตึกเฉลิมพระเกียรติ ส่วนอดีต สว.สมชาย ยังสงสัยใบเสร็จค่ารักษาแค่ 2 โรค

วันที่ 18 กรกฎาคม 2568 ภายหลัง นายชาญชัย อิสระเสนารักษ์ อดีต สส.พรรคประชาธิปัตย์  เปิดเผยภายหลังการเข้าร่วมฟังการไต่สวน ว่า วันนี้ได้รับทราบข้อเท็จจริง ได้เห็นเอกสารเองกับหูได้ดูกับตา และคำให้การขัดแย้งกับแพทย์สภาจริง ๆ  ซึ่งในอาทิตย์หน้าแพทย์สภาจะมาเบิกความ เมื่อเช้าตนได้ชี้แจงต่อศาลและศาลได้นำใบเสร็จขึ้นมาถามสรุปแล้ว ก็ถามว่าทำไมใบเสร็จถึงไม่มีค่ายา 


"ผู้อำนวยการทั้งเก่าและใหม่ เขาบอกว่าไปซื้อยาข้างนอกมาใช้เอง ซึ่งตนงงมากกับระบบของรพ.ตำรวจ แพทย์จ่ายยาทุกวันแต่ไม่รู้ว่าจ่ายยาอะไร เป็นเรื่องแปลกประหลาดเป็นพิรุธใหญ่มาก " นายชาญชัยกล่าว

นายชาญชัย กล่าวว่า วันนี้ทางองค์คณะได้สอบถามมากพอสมควร แล้วตนจะให้หลักฐานเหล่านี้ไปปรากฏต่อสาธารณะ ซึ่งไม่ผิดเพราะหลักฐานตัวนี้ได้ให้ไว้ก่อนที่จะเข้าไปฟังศาลไต่สวน และไม่ใช่เวชระเบียน ไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้นเปิดเผยต่อสาธารณะได้ ศาลได้เรียกหลักฐานไปแล้วไม่มีปัญหาอะไรทั้งสิ้น ยืนยันว่าเปิดเผยต่อสาธารณะได้ และเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะไม่ใช่การกล่าวโทษผู้อื่นและยังตั้งข้อสังเกตว่าไม่น่าเป็นไปได้ เพราะคนไทยทั้งประเทศเวลาไปนอนโรงพยาบาล เวลาได้รับใบเสร็จจะมีรายการยาทุกคน แต่มีใบเสร็จนี้อันเดียวที่ไม่มี ซึ่งเป็นกรณีพิเศษเพราะฉะนั้นอยากไปโทษคนอื่นว่าเขากลั่นแกล้งตัวเองทำอะไร และทำผิดกฎหมายทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปทั้งหมด เป็นเรื่องที่เจ้าตัวต้องไปพิจารณาตัวเอง

นายชาญชัย กล่าวต่อว่า ตนได้ถามไปว่าใครเป็นคนส่งตัวนายทักษิณไปโรงรพ.ตำรวจ 181 วัน ซึ่งโดยปกตินายทักษิณสั่งไม่ได้ แต่วันนี้จะมีคนที่เข้าร่วมกระบวนการนายทักษิณ คือศาลอนุมัติให้นายวิษณุ เครืองาม มาเป็นพยานให้นายทักษิณ ในวันที่ 30 กรกฎาคมนี้ ความจริงจะปรากฏอีกรูปแบบหนึ่งทั้งระบบแล้วจะปิดก๊อกและความจริงจะปิดเกมแล้ว แล้วจะปรากฏว่าเรื่องนี้จะไปจบอย่างไร

ด้านนพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี กล่าวว่า หัวใจสำคัญวันนี้คือการไต่สวนแพทย์ ดังนั้นประเด็นที่เกิดขึ้นทั้งหมดจึงเป็นประเด็นที่เกิดขึ้นในค่ำคืนวันที่ 22 สิงหาคม 66 ที่มีการส่งตัวมารพ.ตำรวจ สิ่งที่เกิดขึ้นคือเมื่อนักโทษรายนี้มาโรงพยาบาลตำรวจและไปอยู่ที่ชั้น 14 มีการถามว่าใครกำหนดให้เป็นคนอยู่ที่ชั้น 14 ซึ่งไม่มีใครชี้แจงได้ว่าใครเป็นผู้กำหนด แต่ในภาพรวมพยายามโบ้ยไปให้พยาบาลหรือศูนย์ประสานงานในการรับผู้ป่วย 

โดยวันนี้เป็นการยืนยันว่าการส่งนักโทษรายนี้มา ด้วยหลักการแล้วต้องผ่านห้องฉุกเฉิน เพราะเป็นผู้ป่วยฉุกเฉิน มีอาการเจ็บหน้าอก มีปัญหาการหายใจ แต่ที่จะฟังการไต่สวนแล้วยืนยันว่าไม่มีการผ่านห้องฉุกเฉิน ซึ่งมีการซักถามกันในประเด็นห้องฉุกเฉินกับชั้น 14 และ ICU ว่าศักยภาพเป็นแบบไหน อย่างน้อยก็ให้รับรู้ว่าห้องฉุกเฉินเป็นห้องรักษาเบื้องต้นผู้ป่วยที่มีอาการวิกฤต ส่วน ICU จะเป็นการดูแลคนไข้วิกฤตแบบระยะยาว

" มีการชี้ให้เห็นว่าชั้น 14 เป็นห้องพิเศษหรือไม่ มีพยานอย่างน้อย 2 ปากชี้ให้เห็นว่าเป็นห้องพิเศษ แต่มีอยู่ 1 ปากที่พยายามบอกว่าเป็นห้องแยก หลาย ๆ ปากให้ข้อมูลสอดคล้องกันชี้ว่าชั้น 14 ที่เอาขึ้นไปส่งนั้น ด้วยสาเหตุสำคัญ 2 กรณี คือ อ้างเรื่องโควิดและอ้างเรื่องความปลอดภัย " นพ.วรงค์กล่าว

นพ.วรงค์ ยังกล่าวว่า การมาถึงรพ.ตำรวจในช่วงเที่ยงคืนเศษ ๆ ภาพปกติแล้วผ่านห้องฉุกเฉินแพทย์เวรห้องฉุกเฉินจะเป็นคนดูแลและปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ  แต่คืนนั้นกลายเป็นปรึกษาแพทย์เวร ที่เป็นแพทย์ด้านศัลยกรรมสมอง ตนจึงตั้งข้อสังเกตว่าแพทย์ที่ถูกสอบจากรพ.ตำรวจวันนี้ กลายเป็นแพทย์ที่อยู่ในทีมเดียวกันคือ ศัลยกรรมสมองทั้ง 3 คน

โดยมีการส่งตัวมาเพราะอาการแน่นหน้าอกและถูกสงสัยว่าเกี่ยวกับโรคหัวใจ แต่แพทย์ที่ดูแลกลับเป็นแพทย์ที่เชี่ยวชาญด้านสมอง ไม่ได้ปรึกษาแพทย์ด้านหัวใจในคืนนั้น และจากที่ฟังแพทย์ที่ทำการรักษาด้านสมอง กลายเป็นแพทย์ผู้สั่งการรักษาในคืนนั้น ทุกคนทราบอยู่แล้วว่ามีการใช้ยา 2 ตัวคือยาพ่นกับยาลดความดัน ที่น่าแปลกใจมากสำหรับคนที่อยู่ในวงการแพทย์คือ 

" มีการปรึกษาแพทย์ทางด้านโรคหัวใจจริง ๆ ซึ่งมาปรึกษาในวันที่ 23 สิงหาคม 2566 ในเวลาปกติ และแพทย์โรคหัวใจมาดูแลจริง ๆในวันที่ 24 สิงหาคม 2566 ซึ่งมีการบันทึกไว้ชัดเจนว่าอาการผู้ป่วยทุเลาลง หากเป็นคนไข้ทั่วไปสามารถกลับไปรักษาที่บ้านได้ มีปัญหาอะไรก็ให้มาตรวจต่อได้ตรงนี้เป็นประเด็นสำคัญ " นพ.วรงค์กล่าว 

ส่วนที่เหลือจะเป็นเรื่องการรักษาผ่านิ้วล็อค ผ่าตัดเอ็นไหล่ นั้น ถ้าเป็นคนทั่วไป ก็ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลถือเป็นการผ่าตัดเล็ก อีกเรื่องคือการเจาะที่ไหล่ โดยทั่วไปควรนอนโรงพยาบาลประมาณ 7 วัน แต่นายทักษิณอาจมีภาวะอื่น ๆ แฝงตัวอยู่ก็อาจจะทำให้นอนโรงพยาบาลประมาณ 3 อาทิตย์

" แต่สิ่งที่น่าสนใจหากได้ฟังคำไต่สวน ทีมราชทัณฑ์ให้ข้อมูลไม่ตรงกับทีมแพทย์ ทีมราชทัณฑ์พยายามยืนยันว่านักโทษรายนี้ติดเตียงต่อเนื่อง ในเมื่อถามแพทย์แต่ละท่านเมื่อเข้าไปตรวจเยี่ยมเจอคนไข้นั่งที่โซฟาก็มี บางท่านก็บอกว่าเมื่อเข้าไปตรวจเยี่ยม เจอคนไข้เดินอยู่ข้างเตียงก็มี บทสรุปคือผมว่าน่าจะยกธงขาวได้แล้ว ไม่รู้จะเอาอะไรมาแก้ตัว " นายแพทย์วรงค์กล่าว       ด้านนายสมชาย แสวงการ อดีตสว. กล่าว เสริมในเรื่องของใบเสร็จการรักษาของนายทักษิณ ว่า มีแต่ค่าห้องตลอด 180 วัน ค่ายารักษามี 2 อาการที่พบ การผ่าตัดนิ้วล็อค กับผ่าตัดไหล่ จะสำคัญคือการล้มหรือการเกิดอุบัติเหตุ ขณะที่อยู่ในโรงพยาบาล ไม่ใช่อาการเดิมซึ่งเป็นสาเหตุทำให้เกิดการผ่าตัด

ส่วนการสงสัยว่าป่วยเป็นโรคหัวใจขาดเลือด ที่ว่าวิกฤตและถูกส่งออกมา หลังจากที่ตนเคยสอบทิ้งไว้ในคณะกรรมาธิการของสว. กลับวันนี้ที่มาฟังพยาน จากแพทย์รพ.ตำรวจทั้งหมดไม่พบการผ่าตัดส่วนหัวใจ เป็นการให้ยาตามปกติ ที่สำคัญคือไม่ได้เข้าห้องฉุกเฉิน เหมือนที่พยาบาลราชทัณฑ์หมอราชทัณฑ์และพัศดีเวรทั้งหลาย ส่งตัวฉุกเฉิน ซึ่งคนไข้ลักษณะอาการแบบนี้ต้องรักษาภายใน 90 นาที แต่ใช้เวลาทั้งหมด 2 ชั่วโมงครึ่ง เมื่อมาถึงรพ.ตำรวจก็ไม่ได้เข้าห้อง ICU  แต่ไปอยู่ห้องพักฟื้นที่ชั้น 14 เลย เรื่องนี้ชัดเจนขึ้น

อีกประเด็นที่อยากให้ไปตรวจสอบคือ MOU ของรพ.ตำรวจ กับราชทัณฑ์นั้นอาคารรักษาผู้ป่วยที่ส่งจากราชทัณฑ์ อยู่ที่อาคารเฉลิมพระเกียรติ ซึ่งมีห้องป่วยฉุกเฉินอยู่ข้างล่างและอาคารนี้ชั้น 5 มีห้องขัง 4 เตียงมีลูกกรงกั้นควบคุมตัวได้ แต่ไม่ได้ส่งผู้ป่วยไปที่อาคารนั้น 

ซึ่งในสัปดาห์หน้าเราจะมีหลักฐาน ว่าชั้น 14 มีผู้ป่วยอื่นรักษาอยู่แล้ว ไม่ได้ป่วยโควิดการอ้างของรพ.ตำรวจ เรื่องตรวจโควิด อันนี้ก็เป็นข้อสงสัยใบเสร็จชัดเจนว่าค่ารักษาพยาบาลมีน้อยมาก ค่าผ่าตัดก็มีแค่ 2 โรค สรุปคือสามารถส่งนักโทษกลับเรือนจำได้ตลอดเวลา ส่วนที่บอกว่าป่วยวิกฤตรักษาต่อเนื่องเฉพาะทาง ในความเห็นตนฟังไม่ขึ้น ผู้ป่วยก็ต้องกลับไปอยู่เรือนจำ ถ้าจะไปพักฟื้นต้องกลับไปอยู่ที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ไม่ใช่อยู่โรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 

ทั้งนี้นายสมชาย ยังระบุว่า นายวิษณุที่จะมาเป็นพยาน เปิดกล้องวงจรปิดที่ราชทัณฑ์ในวันที่นายวิษณุ ได้เข้าไป เพื่อยืนยันกับศาลว่าได้เดินทางไปตรวจจริง ๆ

นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ อาจารย์คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตั้งข้อสังเกตว่าแพทย์รพ.ราชทัณฑ์ ทั้งแพทย์เวรและพยาบาลเวรบอกว่าเป็นโรคหัวใจ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แต่ที่รพ.ตำรวจไม่มีการตรวจโดยแพทย์โรคหัวใจ ปล่อยให้ผ่านไปกว่า 20 ชั่วโมง จนถึงเช้าวันที่ 24 สิงหาคม66 จึงมีแพทย์โรคหัวใจมาตรวจ เมื่อตรวจแล้วพบความดันโลหิตสูงและยาขยายหลอดลม ซึ่งสิ่งเหล่านี้รพ.ราชทัณฑ์สามารถรักษาได้ มองว่าการอ้างทั้งหมดนี้น่าจะเป็นโมฆะ เพราะไม่ได้เป็นไปตามมาตรา 55 การส่งตัวตาม พ.ร.บ.ราชทัณฑ์ฯ และกฎกระทรวง 

ทั้งนี้การตรวจของแพทย์รพ.ตำรวจต้องยืนยันว่าเป็นโรคหัวใจขาดเลือดตามที่โรงพยาบาลราชทัณฑ์ได้แจ้ง และเช้าวันที่ 24-25 สิงหาคม66 พบว่าความดันโลหิตหายแล้วก็น่าจะกลับไปที่เรือนจำ ซึ่งเมื่อเห็นว่าไม่จำเป็นต้องอยู่โรงพยาบาลตำรวจก็ควรจะต้องกลับไปอยู่เรือนจำตามหมายขัง

นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม ประธานพรรคไทยภักดี กล่าวถึงการไต่สวนในวันนี้ เป็นการพิจารณาจากบันทึกของแพทย์ไม่ใช่ใบคำสั่งแพทย์  บันทึกแพทย์สามารถเขียนย้อนหลังได้ แต่คำสั่งแพทย์จะเขียนทุกวันไล่ตามเวลาจริงว่าสั่งยาอะไรบ้าง ซึ่งในการพิจารณาความนำบันทึกของแพทย์และใบคำสั่งแพทย์ที่อยู่ในเวชระเบียนมาพร้อมกัน พร้อมเรียกร้องให้นายวิษณุ เครืองาม ที่ศาลจะนัดมาไต่สวนว่า คำพูดของนายวิษณุที่ระบุว่า นายทักษิณจำคุกแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่จะเชื่อได้ 100% จึงขอให้นายวิษณุ  นำหลักฐานภาพถ่ายที่มีการลงทะเบียนระบบข้อมูลผู้ต้องขัง (รท.101) ที่นายทักษิณถอดเสื้อในแดนคุมขัง ที่มีการถ่ายรูปตรงและด้านข้าง  คุมขังเพื่อยืนยันว่าเข้าไปในแดนคุมขัง และมีการลงทะเบียนจริง.

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

Back to Top