เชิญผช.ทูตทหาร18ปท.แจง‘ทุ่นระเบิด’
ทบ.ซัด‘เขมร’บิดเบือน
ยันทุ่นระเบิดไม่ใช่ของไทย
ไม่มีอยู่ในระบบยุทโธปกรณ์
แม่ทัพ2ขู่ปิดปราสาท7วัน
หากกัมพูชายังป่วนไม่เลิก
“ทบ.”เชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศ 18 ประเทศ ชี้แจงข้อเท็จจริงกรณีพบ“ทุ่นระเบิด”ที่ช่องบกและการบิดเบือนข่าวสารของ“กัมพูชา” ย้ำจุดยืนการแก้ไขปัญหาในกรอบทวิภาคี ด้าน“ผู้ช่วยทูตทหารกัมพูชา’นิ่งไม่โต้แย้ง “มทภ.2” ขู่ปิดกลุ่มปราสาทตาเมือน 7วัน หากกัมพูชาควบคุมคนฝั่งตัวเองไม่ได้ ปล่อย“ป้ามหาภัย- กลุ่มฮาร์ดคอร์”ป่วนในพื้นที่ หวัง กต. ใช้เวทีโลกกดดันกัมพูชา ตระบัดสัตย์ ละเมิดอนุสัญญาออตตาวา
เมื่อเวลา 08.30 น. วันที่ 22 กรกฎาคม 2568 ที่ห้องรับรอง 211 กองบัญชาการกองทัพบก พล.ท.บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 รับมอบอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรน จาก อ.ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ในฐานะ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน พร้อมด้วย นาย นิติธร ล้ำเหลือ หรือ ทนายนกเขา และ นาย จตุพร พรหมพันธุ์ ซึ่งเป็นผู้แทนจากกลุ่มรวมพลังแผ่นดินปกป้องอธิปไตย มูลค่ากว่า 10 ล้านบาท เพื่อนำไปมอบให้กับทหารในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการลาดตระเวนของหน่วยทหาร ให้สามารถเฝ้าระวัง ตรวจสอบ และตอบโต้ภัยคุกคามต่อความมั่นคงของประเทศได้อย่างทันท่วงทีและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการส่งเสริมความปลอดภัยของกำลังพล และสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่เสี่ยงอย่างยั่งยืน และในโอกาสต่อไปจะส่งมอบแอนตี้โดรน 1 ลำ โดยขอให้แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นผู้เลือกเพื่อความเหมาะสมในพื้นที่
แม่ทัพ2ลั่นไม่ยอมเสียดินแดนเด็ดขาด
โดยแม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวขอบคุณกลุ่มรวมพลังแผ่นดินและประชาชนที่แสดงจุดยืนยึดแผ่นดินเป็นหลัก ไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง พร้อมทั้งขอชื่นชม ซึ่งทหารตามแนวชายแดน ยังขาดแคลนสิ่งที่จำเป็น เช่น เสื้อผ้า พร้อมกับกล่าวย้ำว่า จะทำหน้าที่ให้ดีที่สุด และไม่ยอมให้เสียแผ่นดินเด็ดขาด แต่เรามีหลายวิธี และกำลังดำเนินการอยู่ ไม่จำเป็นที่จะต้องยกกำลังเข้าไปต่อสู้กัน
แม่ทัพภาคที่ 2 ยังกล่าวถึงกรณีสร้างรั้วกั้นชายแดนในบางจุดหากจำเป็นว่า ในพื้นที่กลุ่มปราสาทตาเมือน กัมพูชาไม่ยอมรับว่าเป็นของไทย ตอนนี้ทั้ง 2 ประเทศคุยกันคนละเรื่อง หากจะทำรั้วต้องยิงกันยึดพื้นที่กันให้ได้ ไม่อย่างนั้น จะเกิดแรงเสียดทานจากกลุ่มมวลชน แม้เราจะยืนยันว่าเป็นของไทย แต่เขาไม่ยอมรับนี่คือปัญหา ที่เผชิญอยู่ในปัจจุบัน
สั่งปิดปราสาททันทีหากมีเหตุวุ่นวาย
สำหรับการจัดระเบียบการท่องเที่ยว แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าวว่า นักท่องเที่ยวทุกชาติสามารถเดินทางมาท่องเที่ยวได้ แต่ต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบของไทย หากมีการก่อกวน หรือมีเรื่องชกต่อย จะสั่งปิดปราสาททันที 1 สัปดาห์ เพื่อจัดระเบียบใหม่ และขณะนี้ มีตำรวจภูธรภาค 3 มาสนับสนุนกองร้อยควบคุมฝูงชน และเจ้าหน้าที่ทหารพรานเข้ามาช่วยในพื้นที่ และคัดกรองอาวุธต่างๆ ก่อนเข้าไปยังตัวปราสาท พร้อมยืนยันว่าขณะนี้มีแผนรองรับและแผนเผชิญเหตุอยู่แล้ว แต่ปัจจุบันยังมองในแง่ดีว่าไม่มีเหตุการณ์อะไร ทางกัมพูชาขอไม่ให้เราปิดปราสาท ตนได้พูดคุยกับทางพล.ต.เนี๊ยะ วงศ์ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 42 ของกัมพูชา เน้นย้ำ ต้องควบคุมคนของตัวเองให้ได้ หากคุมไม่ได้ก็จะปิดปราสาท หรือเข้ามาป่วนทำอะไรที่น่าเกลียด แสดงเชิงสัญญลักษณ์ ถือว่าคุมคนของตัวเองไม่ได้ ตนจะปิด เพื่อให้สถานการณ์คลี่คลาย และย้ำไปว่า ให้กัมพูชาคัดกรองนักท่องเที่ยว เช่น ป้ามหาภัย กลุ่มฮาร์ดคอร์ ไม่อยากให้ขึ้นมา โดยจำกัดนักท่องเที่ยวไม่เกินวันละ100 คน
หวังให้ กต.ใช้เวทีโลกกดดันเขมร
“กองทัพไม่นิ่งเฉย แต่การเมืองก็ว่ากันไป แต่เราดูในเรื่องความมั่นคง กรณีที่ทหารเหยียบกับระเบิดก็เป็นอีกกรณีที่จะต้องเข้าไปแก้ไขปัญหา แม้ว่าทางกัมพูชาจะออกมายืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้วางทุ่นระเบิด แต่เราก็รู้ดีว่าประเทศเพื่อนบ้านเราเป็นอย่างไร เขาก็พยายามดิ้นให้หลุด เพราะหากกระทรวงการต่างประเทศของไทยเดินหน้าเรื่องนี้เต็มที่ ก็จะสร้างความเสียหายกับศักดิ์ศรีของประเทศกัมพูชาเช่นกัน จึงเป็นหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศ ที่ต้องดำเนินการ แต่ในส่วนของทหารก็ได้ดำเนินการประท้วงไปแล้ว แต่หลังจากนี้จะไม่ใช้การเดินลาดตระเวนแบบเก่า ไม่เอาลูกน้องไปเสี่ยง แต่จะใช้รถไถ หากเหยียบระเบิด ก็ให้ระเบิดไป และจะดำเนินการตรวจสอบพื้นที่อื่นๆ ด้วยว่ามีอีกหรือไม่ นอกจากนี้ยังมีมาตรการที่เราจะดำเนินการต่อไป ที่จะประท้วงให้ประชาคมโลก ได้ตำหนิและวิจารณ์ กับประเทศที่ขัดต่ออนุสัญญาออตตาวา และตะบัดสัตย์ข้อตกลงทำร่วมกันไว้” แม่ทัพภาคที่ 2 กล่าว
ขึ้นอยู่กับผู้นำ2ประเทศร่วมแก้ปัญหา
พลโทบุญสิน ระบุว่า สำหรับการขอความร่วมมือประเทศลาวกดดันกัมพูชาเรื่องการตัดท่อน้ำเลี้ยง เช่น น้ำมัน ยุทธภัณฑ์ที่จำเป็นทางด้านทหารนั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล ซึ่งได้หารือและแจ้งไปยังหน่วยเหนือให้ร่วมกันดูปริมาณที่เคยนำเข้า ถ้ามีมากกว่าเดิมก็เป็นสิ่งผิดปกติ
สำหรับมาตรการรักษาความปลอดภัยของทหารช่างที่เข้าไปก่อสร้างถนนนั้น แม่ทัพภาคที่2ระบุว่า มีชุดรักษาความปลอดภัยในทหารช่างอยู่แล้ว สำหรับแนวสร้างถนน เราไม่ทราบว่ากับระเบิดอยู่ตรงไหนบ้าง แต่จะทำไปตามเส้นเขตแดน เพื่อส่งกำลังบำรุง และนำกำลังเข้าไปลาดตระเวนซึ่งเป็นแนวทางในการสร้างความมั่นคงในพื้นที่ตามแนวชายแดนอย่างดีที่สุด และเร็วที่สุด จะสำเร็จอย่างยั่งยืนหรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับผู้นำของสองประเทศ โดยเฉพาะแนวความคิดของผู้นำเขมรเป็นหลักว่าจะคุยกันอย่างไรเพื่อให้เจอกันในจุดที่เหมาะสม เพื่อแก้ไขปัญหาตรงนี้อย่างยั่งยืน
ทบ.เชิญผช.ทูตทหาร18ปท.ชี้แจง
วันเดียวกัน กองทัพบก โดยกรมข่าวทหารบก ได้เชิญผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทย รวม 18 ประเทศ (เวียดนาม, มาเลเซีย, เมียนมา, สิงค์โปร, อินเดีย, ญี่ปุ่น,ฟิลิปปินส์,อังกฤษ, บรูไน, ปากีสถาน, ออสเตรเลีย, สหรัฐอเมริกา อินโดนีเซีย, จีน, เยอรมัน, ฝรั่งเศส, กัมพูชา และรัสเซีย) เข้าร่วมประชุมรับฟังคำชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับสถานการณ์และกรณีการวางทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในพื้นที่ช่องบก จ.อุบลราชธานี โดยมี พลโท กำชัย วงศ์ศรี เจ้ากรมข่าวทหารบก เป็นประธานในการประชุม ณ อาคารศรีสิทธิสงคราม ภายในกองบัญชาการกองทัพบก
ยันทุ่นระเบิดไม่ใช่ของไทย
สำหรับข้อมูลที่กรมข่าวทหารบกได้ชี้แจงต่อผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารต่างประเทศประจำประเทศไทยประกอบด้วย รายละเอียดสถานการณ์และเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับกรณีที่ทหารไทยเหยียบทุ่นระเบิดสังหารบุคคลในวันที่ 16 ก.ค.68 พร้อมยืนยันอย่างชัดเจนว่า ทุ่นระเบิดที่พบไม่ใช่ของไทย โดยหน่วยพิสูจน์ทราบได้พิสูจน์ทราบว่าหลุมระเบิดนั้นได้พบเศษวัตถุระเบิดชนิด PMN-2 และพบทุ่นระเบิดเพิ่มอีก 2 จุด และจากการตรวจพบทุ่นระเบิดดังกล่าว ยืนยันว่าทั้งหมดเป็นระเบิดชนิด PMN-2 มีสภาพใหม่พร้อมทำงาน ปรากฏตัวอักษรชัดเจนบริเวณด้านข้างทุ่นระเบิด ซึ่งทุ่นระเบิดชนิดนี้กองทัพไทยไม่มีอยู่ในระบบยุทโธปกรณ์
โต้เขมรบิดเบื้อนข้อเท็จจริง
ขณะเดียวกันพบหลักฐานที่ชัดเจนว่าบริเวณวางทุ่นระเบิดยังไม่มีวัชพืชหรือรากไม้ขึ้นปกคลุม และพบร่องรอยของการขุดเพื่อวางทุ่นระเบิดอย่างชัดเจน นอกจากนี้ยังมีหลักฐานว่าในปี 2565 ฝ่ายไทยได้ดำเนินการกวาดล้างทุ่นระเบิดในพื้นที่บริเวณช่องบก และไม่มีการตรวจพบทุ่นระเบิดPMN-2 แต่อย่างใด จากข้อมูลทั้งหมดบ่งชี้ว่าทุ่นระเบิดPMN-2 ที่ตรวจพบ เป็นการวางหลังจากเกิดเหตุปะทะเมื่อวันที่ 28 พ.ค. 2568 ที่ผ่านมา
นอกจากนี้กรมข่าวทหารบกยังได้ชี้แจงในกรณีที่ฝ่ายกัมพูชาบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยเผยแพร่ภาพและคลิปภารกิจการฝึกเก็บกู้ทุ่นระเบิดของหน่วย TMAC ของไทย พร้อมกล่าวหาว่าฝ่ายไทยเป็นผู้วางทุ่นระเบิด ซึ่งไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด
ย้ำจุดยืนยึดเจรจาในกรอบทวิภาคี
ในช่วงท้ายของการประชุม ฝ่ายไทยยังได้แสดงจุดยืนในการแก้ไขปัญหา ซึ่งเกี่ยวข้องทั้งในมิติความสัมพันธ์ทวิภาคีและพันธะกรณีระหว่างประเทศ โดยประเทศไทยให้ความสำคัญกับการเจรจาในกรอบทวิภาคีกับกัมพูชา เพื่อร่วมกันแก้ไขสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างสร้างสรรค์ ซึ่งประเทศไทยคาดหวังว่าฝ่ายกัมพูชาจะให้ความร่วมมืออย่างจริงจังโดยเฉพาะการเข้าร่วมการประชุม JBC, RBC และ GBC ในอนาคต เพื่อส่งเสริมความร่วมมือด้านความมั่นคงระหว่างสองประเทศอย่างรอบด้านเพื่อประโยชน์สูงสุดร่วมกัน
กัมพูชานิ่งไม่ชี้แจง-ไม่มีคำถาม
ภายหลังการชี้แจง พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวว่า บรรยากาศเป็นไปด้วยดี ส่วนใหญ่เป็นการรับฟัง และมีคำถามบ้าง ถือว่าน้อย เนื่องจากทุกท่านอาจจะได้รับข่าวสารจากช่องทางอื่นมาบ้างแล้ว ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก ที่พยายามบอกกล่าวและชี้แจงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ในเรื่องข้อเท็จจริง โดยทหารของกัมพูชา ไม่ได้ชี้แจงหรือมีคำถามอะไร คำถามส่วนใหญ่มาจากท่านอื่นมากกว่า ที่ถามเรื่องของความมั่นใจและยืนยันใช่หรือไม่ ซึ่งทางเรา ก็ให้เหตุผลไป และจะให้เอกสารชี้แจง ส่วนท่าทีของประเทศมหาอำนาจ ก็ไม่ได้มีอะไรเป็นพิเศษ ซึ่งการเชิญมาในวันนี้เราก็ทำตามนโยบายของผู้บัญชาการทหารบก คือทำให้เป็นทางการ
ส่วนการหารือได้ชี้แจงเรื่องของการละเมิด บูรณภาพดินแดง และเอ็มโอยู 2543 และอนุสัญญาออตตาวา ด้วยหรือไม่ พลตรีวินธัย ระบุว่า มีการพูดถึงประเด็นดังกล่าว และได้อธิบายตามหลักอนุสัญญา ที่ทั้งสองประเทศเป็นสมาชิก และเล่าถึงกลไกการแก้ไขปัญหา ความตึงเครียดชายแดน มีช่องทางอะไรบ้าง โหมตั้งแต่ระดับรัฐบาล กระทรวงกลาโหม และกองทัพภาค ผู้ช่วยทูตทหารกัมพูชา ยืนยันว่าผู้ช่วยทูตทหารกัมพูชา ไม่ได้แก้ต่าง ในที่ประชุม
ไทยยึดถือกติกา-พร้อมปกป้องอธิปไตย
ขณะเดียวกันผู้ช่วยทหารกัมพูชา ไม่ได้โต้อะไรใช่หรือไม่ หรือไม่ พลตรีวินธัย ระบุว่า ก็ไม่ได้พูดอะไร ก็เป็นสิทธิ์ของแต่ละฝ่าย เราเองก็มีหลักฐาน ที่มีข้อพิสูจน์ที่ชัดเจน ซึ่งเป็นเรื่องของผู้รับสารจะเป็นอย่างไร และเรื่องของการรับฟังข่าวสาร ขอให้ดูมาตั้งแต่ต้น ยืนยันว่าไทย เราอยู่ในกฎกติกา โดยเฉพาะทุ่นระเบิด ไม่ใช่เรื่องของความได้เปรียบทางยุทธวิธี ประเทศไทยก็ถือว่ามีความพร้อมทางการทหาร ที่สามารถปกป้องอธิปไตยได้ และอยู่ในกติกา ยืนยันว่า ทูตทหารจากประเทศต่างๆไม่ได้ติดใจ ในประเด็นที่เราชี้แจง
ส่วนเรื่องการปฎิบัติการทางทหาร ก็ให้เป็นเรื่องของหน่วยในพื้นที่ ซึ่งพยายามใช้ความอดทนอดกลั้น และใช้สันติวิธี ซึ่งก็ต้องให้กองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ประเมิน แต่ก็ไม่อยากให้คิดไปในเรื่องไม่ดีไว้ก่อน กองทัพภาคที่ 2 ก็พูดมาตลอดว่า พร้อมทุกวิธี ก็เป็นวิธีที่ชอบธรรม และอยู่ในกฎกติกา
กต.มอบหลักฐานให้แต่ละประเทศ
ขณะเดียวกันกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้ส่งมอบเอกสารหลักฐานยืนยันให้แต่ละประเทศ ซึ่งหลังจากเกิดเหตุมี 2 ลักษณะงาน ในระดับประเทศ กระทรวงการต่างประเทศกำลังดำเนินการอยู่ ส่วนหน่วยปฏิบัติในพื้นที่ สิ่งแรกที่ทำนอกเหนือ จากการดูแลคนเจ็บ คือการดูแลความปลอดภัยของกำลังพล คือต้องค่อยๆ เก็บกู้
ส่วนในวันที่ 27 กรกฎาคมนี้ ที่มีการนัดหมายของคนไทยกัมพูชาขึ้นไปเผชิญหน้ากับนักท่องเที่ยวกัมพูชา ตามกลุ่มปราสาทตาเมือน พลตรีวินธัย ยืนยันว่า กองทัพภาคที่ 2 มีแนวทางในการดำเนินการอยู่แล้ว วันนี้ก็ได้พูดในที่ประชุม ว่ามีกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาสนับสนุน ซึ่งหากประเมินสถานการณ์แล้ว เกิดการขยายผลความขัดแย้ง จะต้องมีมาตรการดำเนินการ แต่ขอให้ทางกองทัพภาคที่ 2 เป็นผู้ชี้แจง ส่วนถึงขั้นต้องปิดปราสาทหรือไม่นั้น ก็ขอให้ฟังกองทัพภาคที่ 2 ชี้แจงเช่นกัน
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี