เยียวยาศพ1ล้าน
ผู้เสียชีวิตเหตุการณ์สู้รบไทย-เขมร
พิการ7แสน/สาหัส2แสน
คลังจัดเต็มช่วยผู้กระทบ
พักหนี้-ช่วยฟื้นฟูกิจการ
รบ.สั่งรัฐมนตรีลงพื้นที่
รัฐบาลช่วยเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-เขมร เสียชีวิตได้ 1 ล้าน พิการ 7 แสน สาหัส 2 แสน ขณะที่ คลังออกมาตรการให้แบงก์รัฐเร่งช่วยเหลือ ทั้งพักหนี้ ฟื้นฟูกิจการ อาชีพ ซ่อมแซมบ้าน
เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ครั้งที่ 2/2568 เพื่อพิจารณาให้ความช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา
รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะกรรมการกองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี ในคราวประชุม ครั้งที่ 2/2568 เมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 ได้มีมติอนุมัติในหลักการให้ความช่วยเหลือประชาชน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และทหารพราน ผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ดังนี้ 1. กรณีเสียชีวิต รายละ 1,000,000 บาท 2. กรณีทุพพลภาพ รายละ 700,000 บาท 3. กรณีบาดเจ็บสาหัส รายละ 200,000 บาท 4. กรณีบาดเจ็บมาก รายละ 100,000 บาท 5. กรณีบาดเจ็บเล็กน้อย รายละ 50,000 บาท
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อไปว่า รัฐบาลขอแสดงความห่วงใยและรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้งต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น โดยได้มีข้อสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งดำเนินการให้ความช่วยเหลือเยียวยาแก่ครอบครัวผู้ได้รับผลกระทบทั้งด้านความเป็นอยู่และสภาพจิตใจ รัฐบาลขอแสดงความเสียใจต่อผู้เสียชีวิตและครอบครัว พร้อมทั้งขอส่งกำลังใจและความห่วงใยไปยังผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ในครั้งนี้
ในการนี้ ประชาชนที่มีความประสงค์จะบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา สามารถร่วมบริจาคได้ที่ “กองทุนเงินช่วยเหลือผู้ประสบสาธารณภัย สำนักนายกรัฐมนตรี” ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) สาขาทำเนียบรัฐบาล บัญชีเลขที่ 067-0-06895-0 โดยยอดเงินบริจาคสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้
ส่งรัฐมนตรีลงพื้นที่
ายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรมว.มหาดไทย รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี กล่าวว่าได้สั่งการไปยังรัฐมนตรีทุกคนในการช่วยเหลือประชาชน ซึ่งจะส่งน.ส.ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รมช.มหาดไทย ลงพื้นที่ จ.อุบลราชธานี พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รมว.ยุติธรรม ไปที่จ.ศรีสะเกษ เพื่อป้องกันข้อครหา ไปทำสิ่งที่ไม่ดีในระหว่างที่มีการหาเสียงการเลือกตั้งซ่อม ขณะที่นายสรวงศ์ เทียนทอง รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา ไปลงพื้นที่จ.บุรีรัมย์ และน.ส.จิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่จ.สุรินทร์ดังนั้นยืนยันได้ว่า จะมีตัวแทนจากรัฐบาลไปเยี่ยมประชาชน และร่วมงานศพของผู้เสียชีวิต ซึ่งรัฐบาลจะทำทุกอย่างเพื่อช่วยเหลือประชาชนให้ได้มากที่สุด
ทุกภาคส่วนช่วยประชาชน
นายอนุกูล พฤกษานุศักดิ์ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ขณะนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดตั้ง “War room ติดตามและแก้ไขสถานการณ์ด้านการเกษตร ชายแดนไทย-กัมพูชา” เพื่อเฝ้าระวัง ติดตาม และวิเคราะห์ผลกระทบด้านการเกษตรในพื้นที่จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาอย่างใกล้ชิด ทั้งติดตามสถานการณ์พื้นที่เกษตรในแนวชายแดนแบบเรียลไทม์ และประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อการผลิตพืช สินค้าเกษตร และปศุสัตว์ รวมถึง วางแผนเผชิญเหตุและเสนอแนวทาง ช่วยเหลือเกษตรกรอย่างทันท่วงที พร้อมทั้งประสานความร่วมมือกับหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานในพื้นที่ และสื่อสารสถานการณ์แก่เกษตรกรและประชาชนให้ได้รับข้อมูลที่ถูกต้อง รวดเร็ว โดยจะใช้ระบบ ข้อมูลเชิงพื้นที่ (GIS-Based Dashboard) เพื่อเฝ้าระวังพื้นที่เสี่ยง โดยเฉพาะในจังหวัดศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ และอุบลราชธานี ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรหลักที่อยู่ในรัศมีความเสี่ยงจากสถานการณ์ดังกล่าว นอกจากนี้ ยังมีการตั้ง “ศูนย์ย่อยประสานงานจังหวัด” ในระดับสำนักงานเกษตรและสหกรณ์จังหวัด เพื่อทำหน้าที่รวบรวมข้อมูลภาคสนาม จากตำบล อำเภอ และประสานมาตรการเร่งด่วนในพื้นที่
เตรียมพื้นที่ปลอดภัย
ขณะที่ กระทรวงศึกษาธิการ นั้น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการสั่งการให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด พร้อมประสานงานกับหน่วยงานด้านความมั่นคงในพื้นที่ และมีคำสั่งปิดโรงเรียนทุกแห่งในบริเวณที่เกิดเหตุการปะทะ เพื่อความปลอดภัยของนักเรียน ครู และเจ้าหน้าที่ พร้อมกำชับให้โรงเรียนในเขตชายแดนจัดเตรียมแผนรับมืออย่างเป็นระบบ โดยเฉพาะการเตรียมหลุมหลบภัย หรือพื้นที่ปลอดภัยสำหรับนักเรียน รวมถึงสั่งการให้จัดตั้งศูนย์พักพิงชั่วคราวในพื้นที่ปลอดภัย เพื่อรองรับนักเรียนและครอบครัวที่อาจต้องอพยพออกจากพื้นที่เสี่ยง ทั้งนี้ นักเรียนที่เสียชีวิต กระทรวงศึกษาธิการ จะเข้าไปดูแลและให้ความช่วยเหลือครอบครัวอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะนักเรียนที่ได้รับผลกระทบด้านร่างกายและจิตใจ จะเร่งประสานการรักษาพยาบาลอย่างต่อเนื่อง
คลังสั่งแบงค์รัฐช่วย
นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบ ชายแดนไทย–กัมพูชา ได้ส่งผลกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชนในพื้นที่และขยายวงกว้างไปสู่ภาคเศรษฐกิจและสังคมในระดับชุมชนโดยรอบกระทรวงการคลัง จึงมอบหมายให้แบงก์รัฐ ออกมาตรการด้านการเงินเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนที่เกิดขึ้น ครอบคลุมทั้งมาตรการพักชำระหนี้ มาตรการลดอัตราดอกเบี้ย และมาตรการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ เพื่อให้ความช่วยเหลืออย่างครอบคลุมแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ในพื้นที่ชายแดน
ออมสินพักชำระเงินต้น
โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้ ธนาคารออมสิน จัดทำมาตรการช่วยเหลือผู้ที่อยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ประกอบด้วย
1)มาตรการพักชำระเงินต้น สำหรับผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา จนถึงงวดเดือนธันวาคม 2568 และให้จ่ายดอกเบี้ยเพียงบางส่วน เพื่อบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายในการผ่อนชำระหนี้
2)มาตรการสินเชื่อเพื่อรายย่อย จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ สินเชื่อเพื่อช่วยเหลือสำหรับประชาชนรายย่อย : ระยะเวลาผ่อนชำระ 12 เดือน ปลอดชำระเงินงวด 3 เดือนแรก ดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.60 ต่อเดือน สินเชื่อเพื่อประกอบอาชีพสำหรับประชาชนรายย่อย : ระยะเวลาผ่อนชำระ 60 เดือน ดอกเบี้ยคงที่ร้อยละ 0.75 ต่อเดือน
3)สินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ SMEs วงเงินกู้ต่อรายไม่เกิน 5 ล้านบาท ระยะเวลาผ่อนชำระสูงสุด 7 ปี ปลอดชำระเงินงวดไม่เกิน 1 ปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 = MLR – ร้อยละ 2.65 ปีที่ 2 เป็นต้นไป = MLR ยกเว้นค่าธรรมเนียม Front End Fee และ Prepayment Fee สามารถแสดงความประสงค์ขอเข้าร่วมมาตรการผ่านทางเว็ปไซต์ของธนาคารออมสินหรือติดต่อสาขาของธนาคารออมสินในพื้นที่ได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
ธกส.เสริมสภาพคล่อง
ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) จัดทำมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย – กัมพูชา ประกอบด้วย
1)โครงการสินเชื่อเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน ปี 2568 เพื่อเสริมสภาพคล่องเกษตรกรในด้านค่าใช้จ่ายทั่วไป เช่น ค่าอุปโภคและบริโภคที่จำเป็น วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท อัตราดอกเบี้ย MRR (ปัจจุบัน MRR ของ ธ.ก.ส. เท่ากับร้อยละ 6.725 ต่อปี) ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี ปลอดชำระดอกเบี้ยใน 6 เดือนแรก
2)โครงการสินเชื่อฟื้นฟูและพัฒนาคุณภาพชีวิต เพื่อเป็นค่าลงทุนในการซ่อมแซมบ้านเรือนทรัพย์สิน ค่าซ่อมเครื่องมือและอุปกรณ์การเกษตรที่ได้รับความเสียหาย วงเงินต่อรายไม่เกิน 500,000 บาท อัตราดอกเบี้ยMRR – 2 ต่อปี ระยะเวลากู้ไม่เกิน 15 ปี
ธอส.เปิดทางสร้างบ้าน
ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดทำมาตรการช่วยเหลือและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับลูกค้าของธนาคารจากเหตุการณ์ชายแดน วงเงินโครงการ 200 ล้านบาท ดังนี้ 1)กรณีผู้กู้บาดเจ็บสาหัส หรือที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหาย จะได้รับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี เป็นระยะเวลา 5ปีแรก อัตราดอกเบี้ยปีที่ 6 เป็นต้นไป เป็นไปตามหลักเกณฑ์และเงื่อนไขที่ ธอส. กำหนด 2)กรณีผู้กู้ทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงหรือเสียชีวิต หรือที่อยู่อาศัยได้รับความเสียหายทั้งหลังจนไม่สามารถอยู่อาศัยได้ จะได้รับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.01 ต่อปี ตลอดอายุสัญญา
3)กรณีกู้เพื่อปลูกสร้างอาคารใหม่ทดแทนอาคารเดิมจะได้รับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0 ต่อปี เป็นระยะเวลา 6 เดือนแรก และเดือนที่ 7 – 12 จะได้รับอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 0.50 ต่อปี อัตราดอกเบี้ยปีที่ 2 เป็นต้นไป สามารถยื่นคำขอเข้าร่วมมาตรการได้ตั้งแต่วันนี้จนถึงวันที่ 30 ธันวาคม 2567
นอกจากนั้นยังมี ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) ,ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (ธสน.)ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย (ธอท.) ,บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ได้เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวตามบัญชาของ รมว.คลัง
ซึ่ง กระทรวงการคลังให้ความสำคัญกับการบรรเทาผลกระทบในพื้นที่ โดยมุ่งช่วยเหลือประชาชนและผู้ประกอบการให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่เพียงพอในการดำรงชีวิต ประกอบอาชีพ และฟื้นฟูกิจการอย่างต่อเนื่อง สนับสนุนการปรับปรุง ซ่อมแซม หรือฟื้นฟูทรัพย์สิน เช่น อาคาร โรงงาน และเครื่องจักร ให้สามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี