‘สสส.’ ผนึก ‘ศูนย์วิจัยฯยาสูบ’ กระชากหน้ากาก ‘ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า’ จัดถกทางวิชาการฯ รู้เท่าทันกลยุทธ์ ป้องแทรกแซงนโยบายรัฐ ด้าน ‘WHO’ หนุนไทยคง กม.ห้าม ‘นำเข้า-จำหน่าย’ เปิดผลสำรวจชี้ชัด ‘เด็กม.ต้น’ สูบมากกว่าแบบมวน เร่งสานพลังทุกส่วน สร้างภูมิคุ้มกันเด็ก
วันที่ 5ส.ค.2568 ที่โรงแรมแกรนด์ริชมอนด์ ศูนย์วิจัยและจัดการความรู้เพื่อการควบคุมยาสูบ (ศจย.) ร่วมกับภาคีเครือข่าย และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) จัดแถลงข่าว “กระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า : คนรุ่นใหม่รู้เท่าทันกลยุทธ์” ในงานประชุมวิชาการบุหรี่กับสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 23
พญ.โอลิเวีย ไนเวรัส ผู้เชี่ยวชาญด้านสาธารณสุขอาวุโส องค์การอนามัยโลกประจำประเทศไทย กล่าวว่า องค์การอนามัยโลกสนับสนุนรัฐบาลไทยในการคงนโยบายการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งเป็นนโยบายที่อิงหลักฐานเชิงประจักษ์และสอดคล้องกับ WHO FCTC ที่ไทยได้ร่วมลงนามรับรองตั้งแต่ปี 2546 โดยมาตรา 5.3 ของอนุสัญญาฯ เรียกร้องให้ประเทศภาคีปกป้องนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพจากการแทรกแซงของธุรกิจบุหรี่ ดังนั้นองค์การอนามัยโลกขอเรียกร้องให้ทุกภาคส่วนมีความตระหนักถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการแทรกแซงของธุรกิจบุหรี่ และดำเนินการตามข้อแนะนำของมาตรา 5.3 อย่างเข้มแข็ง เพื่อป้องกันการแทรกแซงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการควบคุมบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้าเพื่อสุขภาพและอนาคตของทุกคนในสังคม ทั้งนี้ ธุรกิจบุหรี่พยายามเข้ามาแทรกแซงนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพอย่างต่อเนื่องโดยการคัดค้านการห้ามนำเข้าและห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้าในไทย องค์การอนามัยโลก จึงมีคำขวัญวันงดสูบบุหรี่โลก ปี 2568 ว่า “Unmasking the Appeal” หรือกระชากหน้ากากธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้า
ขณะที่ นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) กล่าวว่า บุหรี่ไฟฟ้าไม่เพียงส่งผลกระทบต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ธุรกิจบุหรี่ไฟฟ้ายังพยายามทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่ไม่เป็นอันตราย หรือเป็นเรื่องที่ยอมรับได้ในสังคม ข้อมูลจากระบบ OBEC CARE ปี 2567 สำรวจโดยกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และ สสส. ได้สำรวจเด็กนักเรียนระดับ ป.1-ม.6 รวม 124,606 คน จากโรงเรียน 1,699 แห่ง ใน 30 เขตพื้นที่การศึกษา พบนักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นสูบบุหรี่ไฟฟ้ามากกว่าบุหรี่มวน โดยกลุ่มตัวอย่างทั้งหมดเคยทดลองสูบบุหรี่ไฟฟ้า 24.7% คบเพื่อนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้า 22.01% และอาศัยในชุมชนที่มีผู้สูบบุหรี่ไฟฟ้าให้เห็นเป็นประจำ 20.2% สะท้อนว่าพฤติกรรมเสี่ยงไม่ได้เกิดจากตัวเด็กเพียงลำพัง แต่เกี่ยวข้องกับสภาพแวดล้อมทางสังคม และหากไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม
“สสส. จึงได้สานพลังร่วมกับภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วน ขับเคลื่อนการควบคุมยาสูบทั้งในส่วนกลางและท้องถิ่น และสื่อสารข้อเท็จจริงที่ถูกต้องเกี่ยวกับบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า พร้อมทั้งส่งเสริมการสร้างภูมิคุ้มกันทางสังคม มุ่งหวังให้เกิดการเปลี่ยนผ่านทัศนคติเชิงบวก (Denormalization) จากการ ‘ห้ามใช้’ ไปสู่การที่เด็กและเยาวชน ‘ไม่อยากใช้’ ด้วยตนเอง และยังมุ่งเน้นการส่งเสริมบทบาทครอบครัว โรงเรียน และชุมชน ให้ร่วมกันเป็นพลังปกป้องเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ เชิญชวนทุกภาคส่วน ร่วมกันสร้างสังคมไทยที่ปลอดภัยจากบุหรี่และบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อให้เด็กและเยาวชนไทยเติบโตอย่างมีสุขภาวะ” ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าว
ด้าน ศ.นพ.ประกิต วาทีสาธกกิจ ประธานมูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ กล่าวว่า ประเทศต่างๆ รายงานตรงกันว่า การแทรกแซงนโยบายของบริษัทบุหรี่ เป็นอุปสรรคสำคัญที่สุดในการปฏิบัติตาม มาตรา 5.3 ของกรอบอนุสัญญาว่าด้วยการควบคุมยาสูบขององค์การอนามัยโลก (WHO FCTC) จึงกำหนดให้ประเทศภาคี ป้องกันการแทรกแซงนโยบายโดยบริษัทบุหรี่หรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยการห้ามผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้าร่วมเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษา ในคณะกรรมการที่พิจารณาหรือกำหนดนโยบายควบคุมยาสูบ ซึ่งที่ผ่านมามีพรรคการเมืองเสนอให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่ เข้าเป็นกรรมาธิการวิสามัญ และที่ปรึกษากรรมาธิการที่พิจารณานโยบายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น เพราะจะทำให้รายงานของคณะกรรมาธิการฯ ขาดความน่าเชื่อถือ จึงขอให้สภาฯ ได้มีการออกข้อบังคับไม่ให้มีการตั้งผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับบริษัทบุหรี่เข้ามาเป็นกรรมการหรือที่ปรึกษาในกิจการใดๆ ที่เกี่ยวกับการพิจารณานโยบายควบคุมยาสูบอีกในอนาคต
“มูลนิธิฯ ร่วมกับทุกเครือข่ายรณรงค์ควบคุมยาสูบ ในช่วง 32 ปีที่ผ่านมา สามารถลดอัตราการสูบบุหรี่ได้ 48.8% แต่ยังมีผู้สูบบุหรี่อีก 9.8 ล้านคน โดยเฉพาะกลุ่มเยาวชนที่สูบบุหรี่ไฟฟ้าเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ มูลนิธิฯ จึงได้จัดทำโครงการ โรงเรียนปลอดบุหรี่ เยาวชน Gen Z และอปท.ปลอดบุหรี่ ผลักดันให้ขึ้นภาษีสรรพสามิต ปรับปรุงบรรจุภัณฑ์ให้มีภาพและคำแนะนำ” ศ.นพ.ประกิต กล่าว ///-026
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี