เร่งคืนสถานะคนไทยพลัดถิ่นหลังอืดอาดมากว่า 10 ปี คงเหลือตกค้างอีกหลายพันคน กสม.หารือมหาดไทย-ยุติธรรมแก้ปัญหาด่วน
เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 นางปรีดา คงแป้น กรรมการสิทธิมนุษยชน (กสม.) เปิดเผยถึงกิจกรรมออกหน่วยคลินิกสิทธิมนุษยชนเคลื่อนที่ครั้งที่ 13 เพื่อแก้ไขปัญหาสิทธิและสถานะบุคคลกลุ่มคนไทยพลัดถิ่นในพื้นที่ จ.ระนอง ระหว่างวันที่ 5-8 สิงหาคม 2568 ว่า การออกหน่วยคลินิก จ.ระนอง ครั้งนี้เป็นงานบูรณาการเพื่อแก้ปัญหาไทยพลัดถิ่นซึ่งตามที่ขึ้นทะเบียนไว้ยังขาดอีกประมาณ 4,700 คน
“กสม. ได้หารือกับนายชำนาญวิทย์ เตรัตน์ รองปลัดกระทรวงมหาดไทย หาวิธีเร่งรัดให้เสร็จเพราะกฎหมายก็ออกมานาน 10 กว่าปีแล้ว เลยทำเป็นทีมบูรณาการช่วยกัน รัฐบาลเองก็มีมติคณะรัฐมนตรี (ครม.) ที่จะเร่งรัดเรื่องกลุ่มชาติพันธุ์ 4.8 แสนคนให้เสร็จ กสม.เห็นว่าคนไทยพลัดถิ่นซึ่งเป็นคนเชื้อสายไทยควรเร่งรัดด้วย งานนี้จึงเป็นงานบูรณาการโดยมีกระทรวงยุติธรรม โดยกรมคุ้มครองสิทธิฯ กรมพินิจฯ และกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในกรณีที่ตกค้างอยู่ที่เป็นเคสไม่ง่ายแล้ว หาญาติไทยไม่ได้ หาคนรับรองไม่ได้ตรวจดีเอ็นเอด้วย” นางปรีดา กล่าว
นางปรีดา กล่าวอีกว่า คนไทยพลัดถิ่นยังมีอีก 7 จังหวัดที่ยังตกค้างอยู่ ได้แก่ จ.ตราด ,ระนอง ,ประจวบคีรีขันธ์ ,พังงา ,พะเยา ,ตาก ซึ่งคาดว่าจะทำให้แล้วเสร็จภายใน 1-2 เดือนนี้
“มันทำให้กระบวนการยื่นคำขอคนไทยพลัดถิ่นเร็วขึ้น ช่วยกันทำผังตระกูล เพราะเอกสารของคนไทยพลัดถิ่นเยอะบางคนอ่านหนังสือไม่ออก ให้เจ้าหน้าที่รัฐและภาคประชาสังคม อย่างมูลนิธิชุมชนไทเข้าช่วยตรวจเอกสาร สอบปากคำ ปค.14 ให้กระบวนการเข้าระบบในการยื่นคำขอได้เร็วขึ้น” นางปรีดา กล่าว
นางปรีดา กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดคนไทยพลัดถิ่น ใน จ.ระนองว่า มาจากการขีดเส้นแดนใหม่ระหว่างไทยกับพม่า เมื่อมีสงครามในประเทศพม่าก็อพยพเข้ามาที่ จ.ระนอง กับประจวบคีรีขันธ์และอีกหลายจังหวัด
นายภควินต์ แสงคง หัวหน้าฝ่ายปฏิบัติการชุมชน มูลนิธิชุมขนไทย กล่าวว่า จากที่เคยมีความล่าช้าติดขัดนำไปสู่การพูดคุยของ กสม.กับกระทรวงมหาดไทย จนมีเวทีทำความเข้าใจร่วมกันเมื่อวันที่ 18 มิถุนายน ที่ผ่านมา ได้ข้อสรุปว่าพี่น้องไทยพลัดถิ่นใน 7 จังหวัด เหลืออยู่ตอนนี้ 4,700 คน อย่างน้อยให้เข้าสู่กระบวนการ แล้วเสร็จภายในเดือนกันยายนนี้
“ปัญหาเหล่านี้เกิดจากงานวิจัยด้วย มูลนิธิชุมชนไทยจับมือกับกระทรวงวัฒนธรรม และกสม. ทำงานวิจัยออกมา 2 ชิ้น ผ่านกรณีศึกษาทั้งหมด 907 กรณี งานวิจัยค้นพบส่วนของพี่น้องไทยพลัดถิ่นเข้าไม่ถึง ไม่เข้าใจกฎหมาย อ่านหนังสือไม่ออก ไม่มีผังเครือญาติ ความซับซ้อนมากขึ้น ในส่วนของรัฐสำนักทะเบียน เจ้าหน้าที่ย้ายบ่อย คนน้อย เครื่องมือและงบประมาณไม่มี ครั้งนี้ทางกระทรวงมหาดไทยเลยส่งเจ้าหน้าที่มา ผมคิดว่ากระบวนการขั้นแรกให้พี่น้องเข้าถึงสิทธิในการยื่นรับรองความเป็นไทยพลัดถิ่น ที่มีผลดีเอ็นเอแล้วให้เข้าถึงกระบวนการเหล่านี้ ให้มี ทร.31 แบบรับรองการยื่นคำร้องจากที่ผ่านมายื่นแล้วไม่เคยได้เอกสาร รอบนี้คงจะมี ทร.31 ให้กระบวนการได้เริ่มนับหนึ่ง” นายภควินต์ กล่าว
ด้านนางสุนี ไชยรส รองคณบดีฝ่ายพัฒนาสังคมที่ยั่งยืน วิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต กล่าวว่า คนไทยพลัดถิ่นอพยพเข้ามาในประเทศนานแล้ว เป็นการขอคืนสัญชาติไทย ไม่ใช่ขอแปลงสัญชาติ โดยหลังจาก พ.ศ.2555 มีการลงทะเบียนตามระเบียบกระทรวงมหาดไทยไว้ประมาณ 1.8 หมื่นคน แต่ล้าช้ามายาวนาน ถ้าไม่มีสัญชาติก็ไม่มีสิทธิอะไร ถ้าปู่ย่าตายายไม่ได้ พ่อไม่ได้ ลูกหลานก็ไม่ได้ ตกทอดข้ามรุ่นยาวนาน อย่างน้อย 4 พันกว่าคนภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ 5 จังหวัด ตราด ชุมพร ระนอง พังงา พะเยา เป็นเป้าหมายที่ต้องยกขบวนกันไปทำทีละจังหวัด
นางสุนี กล่าวถึงความล่าช้าอีกว่า หลายคนเสียสิทธิ หลายคนเสียชีวิต ทำให้คนตกอยู่ในภาวะยากจนไม่เป็นธรรม กระทบกับเด็กเล็กที่ไม่ได้เงินอุดหนุน คือปัญหาใหญ่สุด
“มันกลายเป็นงานฝากคือไม่เมื่อไม่มีนโยบายที่ชัดเจน ก็ไปขึ้นกับปลัดอำเภอ หนึ่งคนยื่นคำขอก็เอกสารเยอะ พยานที่เกี่ยวข้องมาหลายครั้ง เบื่อหน่าย ผิดหวัง หายไปเพราะค่าใช้จ่ายสูง เป็นปัญหาเรื้อรังที่ควรจะจบนานแล้ว ตอนนี้เหลือ 7 พันกว่าคน แต่ตั้งเป้าภายในสิ้นเดือนกันยายน 4,700 คน จะทำให้สำเร็จ ความล่าช้าส่วนหนึ่งเมื่อมีคนมายื่นเอกสารเป็นกลุ่มก็จะเป็นคอขวดเพราะเป็นงานฝาก กว่าจะเข้ามาส่วนกลาง ผ่านกรรมการรับรอง เส้นทางตกค้างเยอะ นำมาซึ่งการบูรณาการ” นางสุนี กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี