‘อภัยภูเบศร’ผนึก‘วช.-อย.-แม่ฟ้าหลวง’เปิดเวทีหนุนสมุนไพรไทยสู่บัญชียาหลักแห่งชาติ ดันประชาชนเข้าถึงยาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร ร่วมกับสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ศูนย์นวัตกรรมสมุนไพรครบวงจร มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง และศูนย์กลางความรู้ต้นแบบด้านสมุนไพรเพื่อการใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน จัดประชุมเชิงปฏิบัติการหัวข้อ “การพัฒนาหลักฐานเชิงประจักษ์เพื่อสนับสนุนการใช้ยาและผลิตภัณฑ์สมุนไพร”ระหว่างวันที่ 7–8 สิงหาคม 2568 ณ ทีเคพาเลซ เพื่อผลักดันการใช้สมุนไพรไทยอย่างเป็นระบบและยั่งยืน
การประชุมครั้งนี้ ได้เชิญผู้ทรงคุณวุฒิและวิทยากรผู้เชี่ยวชาญหลากหลายสาขา อาทิ ภก.วินิต อัศวกิจวิรี ที่ปรึกษา อย. แบ่งปันประสบการณ์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพร เพื่อการขึ้นทะเบียนยาและการบรรจุเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย บรรยายเรื่องการใช้ข้อมูลผู้ป่วยอย่างถูกต้องตามกฎหมายและจริยธรรม (PDPA) ภก.พินิต ชินสร้อย จากวิทยาลัยการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร ให้ความรู้ด้านคุณภาพของยาสมุนไพร ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญต่อความน่าเชื่อถือของหลักฐานเชิงประจักษ์
นอกจากนี้ยังมีการเสวนาวิชาการถ่ายทอดประสบการณ์พัฒนาหลักฐานเชิงประจักษ์จากกรณีศึกษาในห่วงโซ่อุปทานสมุนไพร อาทิ กรณี “กระท่อม” โดย รศ.นพ.วรวิทย์ วาณิชย์สุวรรณ จากสถาบันวิจัยและนวัตกรรมทางการแพทย์ กรณี “เพชรสังฆาต” โดย ผศ.ดร.ภญ.ธนิกา ปฐมวิชัยวัฒน์ คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
ภายในงานยังเปิดโอกาสให้ผู้เข้าอบรมเวิร์กช็อป “การพัฒนาหลักฐานเชิงประจักษ์” กับกลุ่มผลิตภัณฑ์เป้าหมายที่สนใจ เพื่อสนับสนุนการใช้สมุนไพรในระบบบริการสุขภาพ
“เป้าหมายสำคัญของการประชุมนี้ คือการสร้างเครือข่ายผู้พัฒนาสมุนไพรตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ ไปจนถึงปลายน้ำ เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สมุนไพรสามารถขึ้นทะเบียน และเข้าสู่บัญชียาหลักแห่งชาติได้จริง ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถเข้าถึงยาได้โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย”
ภญ.ดร.ผกากรอง ขวัญข้าว ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศร กล่าวว่า โรงพยาบาลฯ มีบทบาทในการพัฒนาผลิตภัณฑ์สมุนไพรมานานกว่า 40 ปี และในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา ได้วางแนวทางเชิงกลยุทธ์ เพื่อขยายการใช้สมุนไพรให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยได้นำบทเรียนจากประเทศที่ประสบความสำเร็จ เช่น จีน เกาหลี ญี่ปุ่น และอินเดีย ซึ่งล้วนใช้ “การวิจัยทางคลินิก (Clinical Study)” เป็นหัวใจสำคัญในการยกระดับสมุนไพรสู่ระบบสุขภาพ
ดร.ผกากรอง กล่าวว่า ด้วยความพร้อมของบุคลากรทางการแพทย์หลายสาขา โรงพยาบาลจึงได้จัดตั้ง “ศูนย์หลักฐานเชิงประจักษ์ด้านการแพทย์แผนไทยและสมุนไพร” ขึ้นในฐานะหน่วยยุทธศาสตร์ (Strategic Unit) เพื่อพัฒนาข้อมูลที่เชื่อถือได้ รองรับการใช้สมุนไพรในระบบบริการสุขภาพ ทั้งโดยแพทย์ แพทย์แผนไทย เภสัชกร และประชาชน ในแต่ละปี โรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรดำเนินโครงการทดลองทางคลินิก (Clinical Trial) 1–2 โครงการ ซึ่งถือเป็นวิธีวิจัยที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในการทดสอบประสิทธิภาพและความปลอดภัยของยา นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยจากการปฏิบัติงานประจำอีก 4–5 โครงการต่อปี เพื่อสร้างองค์ความรู้ให้สามารถเลือกใช้การรักษาด้วยสมุนไพรได้อย่างเหมาะสมและมีประสิทธิผล
ภญ.ดร.ผกากรอง กล่าวต่อว่า การประชุมในครั้งนี้เป็นผลจากความร่วมมือกับ “Hub of Knowledge” ซึ่งได้รับการสนับสนุนจาก วช. โดยเล็งเห็นถึงศักยภาพของโรงพยาบาลอภัยภูเบศรในการพัฒนาองค์ความรู้ เพื่อนำไปสู่การขึ้นทะเบียนยาและการบรรจุเข้าบัญชียาหลักแห่งชาติ มีผู้เข้าร่วมจากหลากหลายภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัย บุคลากรทางการแพทย์ในสถานพยาบาลที่ใช้สมุนไพร ไปจนถึงผู้ประกอบการ เพื่อร่วมกันพัฒนาเครือข่าย แลกเปลี่ยนความรู้ และผลักดันการใช้สมุนไพรไทยให้เกิดขึ้นจริงในระบบสุขภาพ และการอบรมนี้ได้รับความสนใจจากหลากหลายหน่วยงานทั้งสถานบริการสุขภาพ หน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน และกลุ่มนักวิจัย
นอกจากนี้ หากได้รับงบประมาณสนับสนุนเพิ่มเติม โรงพยาบาลมีแผนที่จะจัดอบรมต่อเนื่อง เพื่อสร้างความเข้าใจ และพัฒนาทักษะให้บุคลากรสามารถจัดทำข้อมูลสำหรับการขึ้นทะเบียนตำรับยา และเสนอบรรจุในบัญชียาหลักแห่งชาติได้อย่างมีประสิทธิภาพ
“เราเคยล้มลุกคลุกคลานมาก่อน และได้เรียนรู้บทเรียนอันมีค่า เราอยากแบ่งปันประสบการณ์และความรู้เหล่านี้คืนสู่สังคม เพื่อให้ผู้อื่นสามารถนำไปต่อยอดได้อย่างมั่นใจ” ภญ.ดร.ผกากรอง กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี