ศปอส.ภ.6 จับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตุ๋นเหยื่อเสียหายมูลค่า 2 ล้านกว่าบาท
10 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ตำรวจภูธรภาค 6 ภายใต้การอำนวยการของ พลตำรวจโท กิติศักดิ์ ดุรงควิบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 พลตำรวจตรี ณัฐวุฒิ ภาคภูมิ รองผู้บัญชาการ ตำรวจภูธรภาค 6 กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 , ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ตำรวจภูธรภาค 6 ร่วมกันสนธิกำลังจับกุมเครือข่ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ปลอมเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ มูลค่าความเสียหาย 2,055,380.86 บาท (สองล้านห้าหมื่นห้าพันสามร้อยแปดสิบบาทแปดสิบหกสตางค์) พื้นที่ สภ.เมืองพิจิตร
กองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 6 โดย พล.ต.ต.เดชพล เปรมศิริ ผบก.สส.ภ.6 ,พ.ต.อ.สุทธิเวท บุญยรัตนกลิน รอง ผบก.สส.ภ.6 ,พ.ต.อ.ฤทธินันท์ ปุ้ยพันธวงศ์ รรท รอง ผบก.สส.ภ.6 ,พ.ต.อ.ธัชพงศ์ วงศ์พัฒนานิวาศ รอง ผบก.สส.ภ.6 , พ.ต.อ.ศุภณัฐ ศตะกูรมะ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 , พ.ต.ท.จิรภัทร เพชรรัตน์ รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 , พ.ต.ท.สิทธิศักดิ์ สุดหอม รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 พ.ต.ท.กิตติ เกิดขันหมาก รอง ผกก.ปพ.บก.สส.ภ.6 , พ.ต.ท.ธนานพ นิ่มสุวรรณ์ รอง ผกก.ปพ.บก.สส.ภ.6 , ชุดจับกุมประกอบด้วย พ.ต.อ.ศุภณัฐ ศตะกูรมะ ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 , พ.ต.ท.จิรภัทร เพชรรัตน์ รอง ผกก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 ร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สืบสวน 1 บก.สส.ภ.6 และ กก.ปพ.บก.สส.ภ.6
ได้ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหา จำนวน 2 ราย 1.นายธาวิน อายุ 34 ปี ที่อยู่ 127 หมู่ที่ 3 ต.เวียงพางคำ อ.แม่สาย จ.เชียงราย ตามหมายจับศาลจังหวัดพิจิตรที่ 202/2568 ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2568 จับกุมที่ อำเภอเมืองเชียงรายจังหวัดเชียงราย ทำหน้าที่ถอนเงิน 2.นายไพบูลย์ อายุ 25 ปี ที่อยู่ 113 หมู่ที่ 2 ต.ผางาม อ.เวียงชัย จ.เชียงราย ตามหมายจับศาลจังหวัดพิจิตรที่ 201/2568 ลงวันที่ 4 สิงหาคม 2568 จับกุมที่ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ ทำหน้าที่รับโอนเงินจากบัญชีผู้เสียหายแล้วโอนเงินต่อยังบัญชีคนถอนเงิน
โดยแจ้งข้อกล่าวหาว่า “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันโดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ บิดเบือนหรือปลอม ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน และเปิดหรือยินยอมให้บุคคลอื่นใช้บัญชีเงินฝาก บัตรอิเล็กทรอนิกส์หรือบัญชีเงินอิเล็กทรอนิกส์ของตน โดยมิได้มีเจตนาใช้เพื่อตนหรือเพื่อกิจการที่ตนเกี่ยวข้องโดยประการที่รู้ หรือ ควรรู้ว่าจะนำไปใช้ในการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีหรือความผิดทางอาญาอื่นใด และร่วมกันฟอกเงิน”
พฤติการณ์แห่งคดี เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2568 นางบุญนำ เทียบรัตน์ ผู้เสียหาย ได้ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกลวง ว่ามีการนำชื่อของผู้เสียหายไปใช้เปิดบัญชีใหม่ และแนะนำให้ไปติดต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ และได้ทำการโอนสายไปยัง สภ.เมืองพิจิตร ปลายสายอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองพิจิตร พร้อมทั้งได้ติดต่อกับผู้เสียหายทางไลน์ชื่อ สภ.เมืองพิจิตร และกำชับผู้เสียหายห้ามปรึกษาคนอื่นและให้โอนเงินที่มีในบัญชีทั้งหมดมาตรวจสอบ และแจ้งว่าเมื่อทำการตรวจสอบเสร็จสิ้นจะโอนเงินคืนให้ทั้งหมด ซึ่งผู้เสียหายหลงเชื่อจึงได้โอนผ่านทางโทรศัพท์มือถือไปยังบัญชีของคนร้าย จำนวน 4 บัญชี มูลค่าความเสียหายรวมจำนวน 2,055,380.86 บาท โดยลักษณะการหลอกลวงของผู้ต้องหาเป็นลักษณะการหลอกลวงประชาชน เข้าข่ายความผิดฐาน “ฉ้อโกงประชาชน”
จากการสืบสวน พบว่าเป็นเครือข่ายร่วมกันฉ้อโกงประชาชน ร่วมกันฟอกเงิน ในลักษณะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ โดยขบวนการดังกล่าวจะมีการหาบัญชีม้า ซึ่งเป็นผู้ต้องหาที่ 1 จะได้ส่วนแบ่งจากยอดเงินที่ถอนออกมา(ได้จากการหลอกลวง)ประมาณ 20-25% และผู้ต้องหาที่ 2จะได้ค่าจ้างครั้งละ 10,000 บาทต่อการโอนเงินต่อครั้ง.
012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี