วันที่ 11 สิงหาคม 2568 อุทยานประวัติศาสตร์สด๊กก๊อกธม สระแก้ว นำเสนอองค์ความรู้เกี่ยวกับบทบาทของปราสาทสด๊กก๊อกธม ในช่วงสงครามและความขัดแย้งบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาในช่วงพ.ศ.2518
▪️ปราสาทสด๊กก๊อกธม โบราณสถานสำคัญชายแดนตะวันออกของไทย ไม่ใช่เพียงแหล่งมรดกทางวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าเท่านั้น แต่ในช่วงสงครามเขมรแดง พื้นที่แห่งนี้ยังกลายเป็นที่พักพิงของผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชานับแสนชีวิต ไปชมกันได้เลยค่ะ
ปราสาทสด๊กก๊อกธม : โบราณสถานชายแดนตะวันออกของไทย สู่ที่พักพิงของผู้ลี้ภัยกัมพูชา
ถ้าจะกล่าวถึงปราสาทสด๊กก๊อกธม หลายคนจะนึกถึงโบราณสถาน ที่ตั้งอยู่ติดชายแดน-ไทยกัมพูชา ที่มีความสำคัญทั้งในด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดี ในพ.ศ. 2478 กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนปราสาทสด๊กก๊อกธมเป็นโบราณสถานแห่งชาติ ในช่วงเวลานั้นพื้นที่ของปราสาทสด๊กก๊อกธม เต็มไปด้วยป่ารกทึบ และซากปรักหักพังของโบราณสถาน และยังไม่เป็นที่รู้จักแพร่หลายนัก ในระหว่างพ.ศ. 2518 - 2526 บริเวณพื้นที่ปราสาทสด๊กก๊อกธม ซึ่งอยู่ใกล้กับชายแดนไทย - กัมพูชา ถูกใช้เป็นศูนย์อพยพชั่วคราวในความดูแลขององค์การสหประชาชาติ หรือ UNHCR เพื่อให้กองกำลังเสรีและประชาชนชาวกัมพูชาผู้ลี้ภัยจำนวนหลายแสนคน ที่ได้รับผลกระทบจากสงครามเขมรแดง ภายในประเทศกัมพูชา มาพักพิงที่ปราสาทแห่งนี้ นอกจากปราสาทสด๊กก๊อกธมแล้วยังมีศูนย์อพยพอีกหลายแห่ง ได้แก่ อำเภออรัญประเทศ จังหวัดปราจีนบุรี (ในขณะนั้น), ช่องจอม, กาบเชิง, จังหวัดศรีสะเกษ
นอกจากการสู้รบภายในประเทศกัมพูชาแล้ว กองกำลังเขมรแดงยังตามไล่ล่าผู้อพยพเข้ามาฝั่งประเทศไทยและได้ฝังทุ่นระเบิดจำนวนมาก ไว้ตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชาเพื่อป้องกันชาวกัมพูชาอพยพออกนอกประเทศ จากคำบอกเล่าของชาวบ้านในพื้นที่ภายหลังสงครามทำให้ทราบว่า ในช่วงเวลาสงคราม ตัวปราสาทสด๊กก๊อกธมได้รับผลกระทบ จากการงัดหินปราสาทบางส่วนไปทำบังเกอร์ ทำเตาก้อนเส้า มีการวางทุ่นระเบิดโดยรอบพื้นที่ ทำให้กลายเป็นพื้นที่เสี่ยงภัย และเป็นสาแหตุหนึ่งที่ทำให้ปราสาทได้รับความเสียหาย
เมื่อสถานการณ์ความรุนแรงมากขึ้น ประชาชนกัมพูชาจำนวนมากถูกผลักดันให้อพยพออกนอกประเทศเพิ่มขึ้นประเทศไทยจึงได้ร่วมมือกับองค์กรระหว่างประเทศจัดตั้งศูนย์ผู้ลี้ภัยเขาอีด่าง ซึ่งเป็นค่ายผู้ลี้ภัยที่ใหญ่ที่สุด เพื่อรองรับผู้ลี้ภัยที่อพยพหนีความรุนแรงมาจากกัมพูชา ตลอดระยะเวลาการดำเนินงานของค่ายผู้ลี้ภัย ผู้ลี้ภัยชาวกัมพูชาจำนวนมากได้รับการจัดสรรให้เดินทางไปตั้งรกรากในประเทศที่สาม อาทิ สหรัฐอเมริกา แคนาดา และฝรั่งเศส ขณะที่ผู้ลี้ภัยบางส่วนทยอยเดินทางกลับประเทศกัมพูชา หลังจากสงครามกัมพูชาสงบลง ค่ายผู้ลี้ภัยเขาอีด่างได้ทยอยปิดตัวลงในพ.ศ. 2536
บทบาทของประเทศไทยในช่วงเวลาดังกล่าวยังเป็นพื้นที่สะท้อนถึงความมีน้ำใจ พอมีเมตตาและช่วยเหลือมนุษย์ในยามวิกฤตอย่างแท้จริง
รู้หรือไม่
1.ในอดีตผู้ลี้ภัยกัมพูชาที่อพยพมาพักพิงที่ปราสาทสด๊กก๊อกธม ได้ขุดหาแหล่งน้ำดื่มข้างในบาราย จำนวนหลายร้อยหลุม เพื่อนำมาดื่มประทังชีวิต ทำให้เกิดการขุดตัดชั้นดินกักเก็บน้ำของบาราย ส่งผลให้บารายในปัจจุบันไม่สามารถกักเก็บน้ำได้
2.ศูนย์ปฏิบัติการกู้ทุ่นระเบิดแห่งชาติ (TMAC) ร่วมกับองค์กรพันธมิตรแห่งประเทศญี่ปุ่นเพื่อปฏิบัติการกู้ทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรม (JAHDS) และมูลนิธิ พลเอกชาติชาย ชุณหะวัณ ดำเนินการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่ปราสาทสด๊กก๊อกธมแล้วเสร็จเมื่อ ค.ศ. 2004 (พ.ศ. 2547) โดยกรมศิลปากรได้ดำเนินการบูรณะปราสาทสด๊กก๊อกธมคู่ขนานไปกับการเก็บกู้ทุ่นระเบิด
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี