กฎหมายเรื่องกลิ่นในประเทศไทย
ปัญหาเรื่องมลภาวะ ทางกลิ่นถือว่าเป็นปัญหาสำคัญและสร้างความเดือดร้อนรำคาญในอันดับต้นๆ
ปัญหามลภาวะทางกลิ่นนั้น ในประเทศไทย มีกฎหมายและข้อบังคับหลายฉบับที่เกี่ยวข้องกับการควบคุม “กลิ่น” โดยตรงและโดยอ้อม ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามลักษณะของกลิ่น (เช่น จากโรงงาน อาหาร ขยะ น้ำเสีย) และสถานที่ ที่เกิดกลิ่น เช่น
พระราชบัญญัติส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ. 2535 เป็นกฎหมายหลักด้านสิ่งแวดล้อม มีการกำหนด “มลพิษทางกลิ่น” เป็นส่วนหนึ่งของมลพิษทางอากาศ โดยให้อำนาจ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ออกมาตรฐานกลิ่น เช่น ค่าความเข้มกลิ่น ส่วนหน่วยงานที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมายคือ กรมควบคุมมลพิษ
พระราชบัญญัติโรงงาน พ.ศ. 2535 มีวัตถุประสงค์หลัก ใช้ควบคุมโรงงานที่ปล่อยกลิ่นรบกวน โดยมี กรมโรงงานอุตสาหกรรม และ อุตสาหกรรมจังหวัด ในการบังคับใช้กฎหมายซึ่งมีอำนาจสั่งให้โรงงานแก้ไขหรือหยุดดำเนินการได้หากกลิ่นเกินมาตรฐานหรือสร้างความเดือดร้อน
พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 มีวัตถุประสงค์ ในการใช้บังคับกฎหมายกรณีกลิ่นที่เกิดในชุมชน เช่น จากตลาด ร้านอาหาร ฟาร์มสัตว์ หรือบ้านเรือน สังเกตุได้จากมาตรา 25 กำหนดว่า “กลิ่นเหม็น” อาจถือเป็นเหตุรำคาญ ซึ่งมีเจ้าพนักงานท้องถิ่น (เช่น
เทศบาล อบต. กทม.) เป็นผู้บังคับใช้กฎหมาย สามารถออกคำสั่งให้ผู้ก่อเหตุแก้ไขหรือหยุดการก่อให้เกิดกลิ่น ซึ่งมีโทษทางอาญาอันเป็นโทษปรับได้แก่ ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 2,000 บาท และหากไม่แก้ไขอาจมีโทษปรับรายวัน
กฎหมายเฉพาะด้านอื่น ๆ อาทิ ประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม กำหนดมาตรฐานกลิ่นในบางประเภทกิจการ เช่น โรงงานแปรรูปสัตว์ โรงฟอกหนัง โรงงานอาหารสัตว์
กฎหมายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย อาจใช้ในกรณีกลิ่นจากสารเคมีรั่วไหลหรือเหตุอันตราย
กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค อาจใช้ถ้ากลิ่นเกี่ยวกับสินค้าที่ไม่ปลอดภัยหรือไม่ได้มาตรฐาน
การร้องเรียน ปัญหาเรื่องกลิ่น ตามข้อกฎหมายดังกล่าวข้างต้นหากกรณีที่เกิดปัญหามลภาวะทางกลิ่นแล้ว หน่วยงานรัฐในประเทศไทยที่ มีอำนาจหน้าที่ในการรับผิดชอบและสามารถ สามารถร้องเรียนได้แก่
- เทศบาล/อบต./สำนักงานเขต (กรณีชุมชนทั่วไป)
- กรมควบคุมมลพิษ
- กรมโรงงานอุตสาหกรรม (กรณีโรงงาน)
วิธีตรวจวัดกลิ่นที่ใช้ในไทย
- การตรวจวัดด้วยคน (Olfactometry)
- ใช้ Dynamic Olfactometer ตามมาตรฐาน EN 13725 (ยุโรป) หรือเทียบเคียงมาตรฐานญี่ปุ่น
- เก็บตัวอย่างอากาศจากแหล่งกำเนิด (ในถุงที่ไม่ดูดซับกลิ่น เช่น Nalophan bag)
- นำตัวอย่างมาผ่านเครื่องเจือจางอากาศสะอาด
- ให้คณะผู้ดม (6–8 คน) ดมเพื่อหาความเข้มที่ไม่รู้สึกกลิ่นแล้วคำนวณเป็น OU/m³
การตรวจวัดภาคสนาม (Field Odor Inspection)
- ใช้เจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ดมและประเมินความรุนแรงตาม Odor Intensity Scale เช่น 0–5
0 = ไม่มีกลิ่น
1 = แทบไม่รู้สึก
2 = รู้สึกได้เล็กน้อย
3 = ชัดเจน
4 = รุนแรง
5 = รุนแรงมากจนรบกวนมาก
โดยวิธีนี้ใช้ในกรณีร้องเรียนในชุมชน
การตรวจวัดด้วยเครื่องตรวจสารประกอบกลิ่น
- Gas Chromatography (GC) หรือ GC-MS
- ตรวจหาสารประกอบที่เป็นสาเหตุกลิ่น เช่น แอมโมเนีย (NH₃), ไฮโดรเจนซัลไฟด์ (H₂S), VOCs
- Photoionization Detector (PID) หรือ Electrochemical Sensor
- ใช้ตรวจสารบางชนิดแบบเรียลไทม์
หน่วยงานที่ใช้วิธีในการวัดระดับของกลิ่นเหล่านี้
- กรมควบคุมมลพิษ (PCD) → ตรวจกรณีมลพิษทั่วไป
- กรมโรงงานอุตสาหกรรม (DIW) → ตรวจโรงงาน
- เทศบาล/อบต./กทม. → ตรวจเหตุรำคาญในชุมชน
- บางจังหวัดมี ศูนย์ตรวจวัดกลิ่นเคลื่อนที่ (Mobile Odor Lab)
ซึ่งขั้นตอนระเบียบรวมถึงข้อกฎหมายนั้น ได้มีบัญญัติไว้ชัดเจนปัญหาในทางปฏิบัติเกี่ยวกับมลภาวะเรื่องกลิ่นคงจะเฉกเช่นเดียวกับปัญหาอื่นคือจำนวนบุคลากรที่ต้องทำการตรวจวัดประกอบกับอุปกรณ์นั้นอาจจะยังไม่สอดคล้องกับปัญหาที่มากขึ้นในทุกวันนี้
036
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี