สรุปผลคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 คดี"ลุงพล-น้องชมพู่" ระบุชัดพฤติการณ์"ลุงพล"อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ 2 ครอบครัวมีเหตุทะเลาะกัน หลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์องศาตัดเส้นผมมัดแน่น ข้อต่อสู้มีพิรุธเพียบ ชดใช้เงินให้พ่อแม่"น้องชมพู่" 2.55 ล้านบาท
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 จากกรณีคดีที่ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาแก้เพิ่มโทษ นายไชย์พล วิภา หรือ "ลุงพล" คดีฆ่า ด.ญ.อรวรรณ วงศ์ศรีชา หรือ "น้องชมพู" อายุ 3 ปี รวม 26 ปี เมื่อวันที่ 13 ส.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งต่อมาจำเลยยื่นคำร้องพร้อมหลักทรัพย์ขอประกันตัว และศาลจังหวัดมุกดาหารเห็นควรส่งคำร้องขอประกันตัวให้ศาลฎีกาพิจารณามีคำสั่ง
ต่อมาวันที่ 14 ส.ค.68 ศาลฎีกาได้มีคำสั่งว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรงกระทบต่อสังคมเป็นการลงโทษสถานหนักทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิพากษาลงโทษให้จำคุก 26 ปี และเกรงว่าจำเลยจะหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างฎีกา ยกคำร้อง ส่งผลให้จำเลยต้องคุมขังอยู่ในเรือนจำระหว่างฎีกาคดี (ข่าวที่เกี่ยวข้อง : ด่วน! ศาลฎีกาไม่ให้ประกันตัว'ลุงพล' ศาลระบุชัด พฤติการณ์ร้ายแรง-อัตราโทษสูง กลัวหลบหนี)
สำหรับคดีนี้ พนักงานอัยการจังหวัดมุกดาหาร เป็นโจทก์ ฟ้อง นายไชย์พล หรือ ลุงพล เป็นจำเลยที่ 1 และ น.ส.สมพร หลาบโพธิ์ หรือ ป้าแต๋น เป็นจำเลยที่ 2 ในฐานความผิดต่อชีวิต ความผิดต่อเสรีภาพ ทอดทิ้งเด็ก และความผิดต่อประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา กล่าวคือ
จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี ไปเสียจากบิดามารดา ผู้ปกครองหรือผู้ดูแล โดยปราศจากเหตุอันสมควร ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 317
จำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา และกระทำความผิดฐานทอดทิ้งเด็กอายุยังไม่เกิน 9 ปี ไว้ ณ ที่ใด เพื่อให้เด็กนั้นพ้นไปเสียจากตน โดยประการที่ทำให้เด็กนั้นปราศจากผู้ดูแล เป็นเหตุให้ผู้ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 306, 308
จำเลยที่ 1 และที่ 2 ร่วมกันเคลื่อนย้ายศพผู้ตายในประการที่จะทำให้การชันสูตรพลิกศพหรือผลทางคดีเปลี่ยนแปลงไป ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 150 ทวิ
จำเลยทั้งสองให้การปฏิเสธ
ระหว่างพิจารณา นางสาวิตรี วงศ์ศรีชา และนายอนามัย วงศ์ศรีชา ผู้เสียหายทั้งสองยื่นคำร้องขอเข้าเป็นโจทก์ร่วม
ศาลชั้นต้นอนุญาตให้เป็นโจทก์ร่วมเฉพาะข้อหาฆ่าผู้อื่น ข้อหาพรากเด็ก และข้อหาทอดทิ้งเด็ก และโจทก์ร่วมทั้งสองขอให้จำเลยทั้งสองชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นค่าปลงศพ และค่าขาดไร้อุปการะ
คดีนี้ ศาลจังหวัดมุกดาหาร พิพากษาว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานกระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย จำคุก 10 ปี และฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 15 ปี จำคุก 10 ปี รวมจำคุก 20ปี ข้อหาอื่นให้ยก ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง และให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 2
โจทก์ โจทก์ร่วมทั้งสอง และจำเลยที่ 1 ยื่นอุทธรณ์
ศาลอุทธรณ์ภาค 4 พิจารณาพยานหลักฐานในสำนวนคดีแล้ว มีความเห็นโดยสรุปว่า การปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในคดีนี้เป็นการรวบรวมพยานหลักฐานไปตามอำนาจหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ไม่มีเหตุให้ระแวงสงสัยว่ามีการปั้นแต่งพยานหลักฐานเท็จเพื่อใส่ร้ายผู้ใดโดยไม่มีมูลความจริง แม้ไม่มีประจักษ์พยานมาเบิกความ แต่เมื่อพิจารณาจากพฤติการณ์แวดล้อมคดีใกล้ชิดกับเวลาและสถานที่เกิดเหตุแล้ว เชื่อว่า ผู้ตายไม่อาจเดินไปบนยอดเขาภูเหล็กไฟที่พบศพได้ด้วยตนเองเป็นแน่ และไม่ได้ถอดเสื้อและกางเกงของตนเองออก แต่มีคนร้ายพาตัวผู้ตายขึ้นไปบนเขาภูเหล็กไฟ และตัดผมผู้ตาย รวมถึงถอดเสื้อผ้าและกางเกงของผู้ตายออกเพื่ออำพรางคดี เมื่อพิจารณาประกอบกับการที่มีพยานแวดล้อมเห็นจำเลยที่ 1 อยู่ใกล้ที่เกิดเหตุ อีกทั้งพยานหลักฐานที่ได้รับการตรวจพิสูจน์ด้วยวิธีการที่น่าเชื่อถือทางวิทยาศาสตร์ยังบ่งชี้ว่า รอยตัดเส้นผมหรือเส้นขนที่อยู่ในรถยนต์ของจำเลยที่ 1 มีองศาเดียวกันกับรอยตัดเส้นผมหรือเส้นขนบริเวณที่พบศพผู้ตาย คือ มีรอยเฉียง 26 องศา เท่ากัน รวมถึงครอบครัวของโจทก์ร่วมทั้งสองกับจำเลยทั้งสองเคยมีสาเหตุไม่พอใจกันมาก่อน ประกอบกับพยานหลักฐานอื่นๆ จึงฟังได้ว่า จำเลยที่ 1 มีเจตนาฆ่าผู้ตายโดยเล็งเห็นผล พยานหลักฐานที่จำเลยที่ 1 นำสืบมามีพิรุธหลายประการ ข้อต่อสู้ของจำเลยที่ 1 ยังไม่เพียงพอให้รับฟังหักล้างพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง
ส่วนจำเลยที่ 2 พยานหลักฐานที่โจทก์นำสืบมายังมีข้อสงสัยตามสมควร ให้ยกฟ้อง
พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นตายโดยเจตนา ฐานทอดทิ้งเด็กเป็นเหตุให้เด็กที่ถูกทอดทิ้งถึงแก่ความตาย ฐานพรากเด็ก และฐานร่วมกันกระทำการใด ๆ แก่ศพหรือสภาพแวดล้อมในบริเวณที่พบศพก่อนการชันสูตรพลิกศพเสร็จสิ้น รวมจำคุก 26 ปี ให้จำเลยที่ 1 ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนแก่โจทก์ร่วมที่ 1 เป็นเงิน 1,350,000 บาท และชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่โจทก์ร่วมที่ 2 เป็นเงิน 1,200,000 บาท
อนึ่ง ภายหลังอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 4 มีการยื่นคำร้องขอให้ปล่อยตัวจำเลยที่ 1 ชั่วคราวระหว่างการใช้สิทธิยื่นฎีกา ศาลจังหวัดมุกดาหารมีคำสั่งให้ส่งคำร้องศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งภายหลังศาลฎีกาพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า พฤติการณ์แห่งคดีเป็นเรื่องร้ายแรง กระทบต่อความรู้สึกด้านลบต่อสังคม ทั้งศาลอุทธรณ์ภาค 4 จำคุกจำเลยที่ 1 มีกำหนดถึง 26 ปี นับว่าเป็นโทษสถานหนัก หากได้รับการปล่อยชั่วคราวอาจหลบหนี จึงไม่อนุญาตให้ปล่อยจำเลยที่ 1 ชั่วคราวในระหว่างฎีกายกคำร้อง
- 006
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี