วันเสาร์ ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2568
แนวหน้า
  • แนวหน้า
  • หน้าแรก
  • คอลัมน์
    • คอลัมน์วันนี้
    • คอลัมน์ออนไลน์
    • คอลัมน์การเมือง
    • คอลัมน์ลงมือสู้โกง
    • โลกธุรกิจ
    • ผู้หญิง
    • บันเทิง
    • Like สาระ
    • ดูทั้งหมด
  • ข่าวเด่น
  • พระราชสำนัก
  • การเมือง
  • โลกธุรกิจ
  • อาชญากรรม
  • กทม.
  • ในประเทศ
  • เกษตร
  • ต่างประเทศ
  • กีฬา
  • ผู้หญิง
  • บันเทิง
  • ยานยนต์
  • Like สาระ
หน้าแรก / ในประเทศ
โผล่อีกเคสชั้น14 ส่อเอื้อผู้ต้องขัง นอนยาวรพ.ตร. ​ซ้ำรอยเทวดาแม้ว

โผล่อีกเคสชั้น14 ส่อเอื้อผู้ต้องขัง นอนยาวรพ.ตร. ​ซ้ำรอยเทวดาแม้ว

วันศุกร์ ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2568, 20.25 น.
Tag : กรรมการสิทธิ์ กสม. เทวดาทักษิณ รพ.ตำรวจ เอื้อผู้ต้องขัง ชั้น14
  •  

โผล่อีกเคสชั้น14
ส่อเอื้อผู้ต้องขัง
นอนยาวรพ.ตร.
ซ้ำรอยเทวดาแม้ว

 

กสม.มีมติชี้ “อดีตผู้บริหารบริษัทเอกชนรายใหญ่” ได้รับการเลือกปฏิบัติระหว่างถูกคุมขังจากการเอื้อประโยชน์ให้ได้รับการรักษาพยาบาลที่ดีกว่า“ผู้ต้องขังรายอื่น” ให้พักรักษาตัวในห้องผู้ป่วยพิเศษ รพ.ตำรวจ ซึ่งขัดต่อระเบียบ และการพักรักษาตัวที่ทัณฑสถาน รพ.ราชทัณฑ์เป็นเวลานานเกินความจำเป็น เสนอ ตร.-ราชทัณฑ์ สอบ


เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2568 นายวสันต์ ภัยหลีกลี้ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ เปิดเผยว่า คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.)ได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มผู้เสียหายจากหุ้นกู้บริษัทสตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เมื่อเดือนสิงหาคม 2567 ระบุว่า ผู้ร้องเห็นว่ามีการเลือกปฏิบัติอันเป็นการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ต้องขัง จากกรณีที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้องที่ 1) ได้ส่งตัวอดีตผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของบริษัทฯ ซึ่งเป็นจำเลยในคดีทุจริตและฉ้อโกง ไปรักษาตัวกับทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2) โดยให้เหตุผลว่าเป็นผู้ป่วยกลุ่มเปราะบาง 608 จากที่ได้ฉีดสีเพื่อตรวจหาโรคหัวใจและมีประวัติการรักษาโรคซึมเศร้า ต่อมาผู้ถูกร้องที่ 2 ตรวจพบก้อนเนื้อบริเวณอัณฑะ จึงได้ส่งตัวอดีตผู้บริหารไปรักษาตัวกับโรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 4) โดยพักรักษาที่หอผู้ป่วยพิเศษ ชั้น 14 เป็นระยะเวลาเกือบ 30 วัน ก่อนที่กรมราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 3) จะประสานงานกับผู้ถูกร้องที่ 4 เพื่อรับตัวกลับมารักษาตัวกับผู้ถูกร้องที่ 2 อย่างต่อเนื่อง นอกจากนั้น ขณะที่อดีตผู้บริหารถูกควบคุมตัวไปศาลอาญา ผู้ร้องสังเกตเห็นว่าถูกพันธนาการน้อยกว่าผู้ต้องขังรายอื่น จึงขอให้ตรวจสอบ

กสม. ได้พิจารณาข้อเท็จจริงจากทุกฝ่าย หลักกฎหมาย และหลักสิทธิมนุษยชนที่เกี่ยวข้องแล้วเห็นว่า รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 บัญญัติว่าบุคคลย่อมเสมอกันในกฎหมาย มีสิทธิและเสรีภาพและได้รับความคุ้มครองตามกฎหมายเท่าเทียมกัน การเลือกปฏิบัติโดยไม่เป็นธรรมต่อบุคคลไม่ว่าด้วยเหตุความแตกต่างในเรื่องอายุ ความพิการ สภาพทางกายหรือสุขภาพ สถานะของบุคคล ฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม หรือเหตุอื่นใดจะกระทำมิได้

กรณีตามคำร้องมีประเด็นที่ต้องพิจารณาแยกเป็น 2 ประเด็น

ประเด็นแรก ผู้ถูกร้องที่ 1–4ได้ให้การดูแลรักษาอดีตผู้บริหารรายดังกล่าวดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น ซึ่งถือเป็นการเลือกปฏิบัติ หรือไม่ จากการตรวจสอบข้อเท็จจริงปรากฏว่า เมื่อวันที่ 12 กุมภาพันธ์ 2567 เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้องที่ 1) รับตัวอดีตผู้บริหารเข้ามาและตรวจคัดกรองเบื้องต้นพบว่า มีโรคหัวใจและไขมันในเลือดสูง และในวันเดียวกันผู้ต้องขังมีอาการเจ็บหน้าอก เรือนจำฯ จึงส่งตัวไปยังทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2) โดยแพทย์ให้สังเกตอาการที่สถานพยาบาลเรือนจำก่อน ต่อมาได้ประเมินอาการพบปัญหาทางสภาพจิตรุนแรงจึงรับไว้เพื่อสังเกตอาการ หลังจากนั้นพบว่าผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารรายดังกล่าวมีอาการปวดอัณฑะและจำเป็นต้องได้รับการผ่าตัด แต่ทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์มีข้อจำกัดในการวินิจฉัยอย่างละเอียดเพื่อทำการผ่าตัดเฉพาะก้อนเนื้อออกและไม่มีวิสัญญีแพทย์ จึงต้องส่งตัวผู้ต้องขังไปรับการรักษากับโรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 4) ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า กสม. เห็นว่าการดำเนินการในชั้นนี้เป็นการคุ้มครองสิทธิในการได้รับบริการสาธารณสุขต่อผู้ต้องขังและสิทธิและเสรีภาพในชีวิตและร่างกายของผู้ต้องขังตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ตามสมควรแล้ว จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

เมื่อพิจารณาต่อไปในห้วงเวลาที่โรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 4) รับตัวอดีตผู้บริหาร ไว้ดูแลรักษาและให้พักรักษาตัวที่ห้องพิเศษชั้น 14 อาคารมหาภูมิพลราชานุสรณ์ 88 พรรษา ตั้งแต่วันที่ 23 เมษายน 2567 รวมระยะเวลา 29 วัน โดยไม่ได้จำหน่ายตัวภายหลังที่มีการผ่าตัดเสร็จสิ้น เห็นว่าเนื่องจากแผลผ่าตัดยังมีเลือดไหลและติดเชื้อ ต้องมีการเปิดแผลเพื่อทำแผลและระบายเลือด ถือเป็นเหตุอันสมควรที่ผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารรายดังกล่าวจะได้รับการดูแลรักษาจากผู้ถูกร้องที่ 4 ตามหลักเกณฑ์และมาตรฐานวิชาชีพแพทย์ อย่างไรก็ดี เมื่อพิจารณากฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 และระเบียบโรงพยาบาลตำรวจว่าด้วยการรับตัวผู้ป่วยคดีที่เป็นผู้ต้องหา ผู้ต้องกัก ผู้ต้องขัง หรือนักโทษเข้ารับการรักษาพยาบาลเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลตำรวจ พ.ศ. 2557 ซึ่งวางหลักไว้ว่าผู้ต้องขังที่ได้รับอนุญาตให้ออกไปรักษาตัวนอกเรือนจำจะต้องใช้สิทธิของผู้ต้องขังตามที่ทางราชการจัดให้และห้ามเข้าอยู่ในห้องพักพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป เว้นแต่ต้องพักรักษาตัวในห้องควบคุมพิเศษตามที่สถานที่รักษาผู้ต้องขังจัดให้ และหากแพทย์มีความเห็นให้ผู้ป่วยคดีเข้ารับการรักษาที่ผู้ถูกร้องที่ 4 แล้ว โดยหลักให้รับตัวผู้ป่วยคดีไว้ที่ห้องผู้ป่วยที่โรงพยาบาลตำรวจจัดไว้สำหรับผู้ต้องหา ผู้ต้องขัง หรือนักโทษ เว้นแต่นายแพทย์ใหญ่จะพิจารณาอนุญาตเป็นอย่างอื่น

การที่อดีตผู้บริหารฯ ได้เข้าพักรักษาที่ห้องพิเศษแยกจากผู้ป่วยอื่นแทนที่จะเป็นห้องผู้ป่วยคดี โดยโรงพยาบาลตำรวจชี้แจงว่าเนื่องจากอดีตผู้บริหารมีโรคประจำตัวหลายโรค มีความสามารถที่จะชำระค่าห้องพักพิเศษได้ รวมถึงมีความจำเป็นต้องเปิดแผลซึ่งต้องมีความเป็นส่วนตัว แต่จากการตรวจสอบสภาพภายในห้องผู้ป่วยคดีพบว่า มีการติดตั้งฉากม่านกั้นสำหรับคุ้มครองสิทธิในความเป็นส่วนตัวของผู้ป่วยกรณีที่บุคลากรทางการแพทย์จะต้องทำหัตถการอย่างเหมาะสมแล้ว ข้อชี้แจงของโรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 4) จึงไม่สอดคล้องกับข้อเท็จจริงและไม่เป็นเหตุผลที่เพียงพอต่อการปฏิบัติกับอดีตผู้บริหารให้แตกต่างจากผู้ต้องขังป่วยรายอื่น การกระทำดังกล่าวจึงเป็นการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคม นอกจากนี้ ยังไม่ปรากฏว่าเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้องที่ 1) มีการกำกับดูแลการใช้สิทธิในการรักษาพยาบาลให้เป็นไปตามกฎกระทรวงการส่งตัวผู้ต้องขังไปรักษาตัวนอกเรือนจำ พ.ศ. 2563 ที่ห้ามไม่ให้ผู้ป่วยคดีเข้ารักษาในห้องพิเศษแยกจากผู้ป่วยทั่วไป จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 1 และผู้ถูกร้องที่ 4 กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ต่อมา หลังจากผู้ถูกร้องที่ 4 ได้จำหน่ายตัวผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารกลับมารับการรักษาต่อกับทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์ (ผู้ถูกร้องที่ 2) เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม 2567 โดยแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 4 มีความเห็นให้ดูแลต่อเนื่องภายหลังจากการผ่าตัดซึ่งจะต้องทำแผลและให้ยาปฏิชีวนะ รวมถึงไปติดตามอาการตามนัดของแพทย์หลายครั้ง โดยแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 4 ได้สิ้นสุดการรักษาเมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2567 แต่เมื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวกลับปรากฏว่าอดีตผู้บริหารยังคงอยู่ภายใต้การดูแลรักษาของผู้ถูกร้องที่ 2 มาโดยตลอด รวมระยะเวลากว่า 6 เดือน กว่าผู้ถูกร้องที่ 2 จะได้จำหน่ายตัวอดีตผู้บริหารกลับไปควบคุมที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานครตามเดิม ซึ่งเห็นว่าเป็นระยะเวลาที่นานเกินสมควร เนื่องจากไม่ปรากฏอาการเจ็บป่วยอื่นใดที่เป็นข้อบ่งชี้สำคัญให้อดีตผู้บริหารต้องอยู่รักษากับผู้ถูกร้องที่ 2 ต่อเนื่อง และการรักษาอาการทางจิตกับแพทย์ของผู้ถูกร้องที่ 2 ก็เป็นไปในฐานะผู้ป่วยนอกมาโดยตลอด กรณีนี้จึงมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 เลือกปฏิบัติต่อผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารให้ได้รับประโยชน์มากกว่าผู้ต้องขังที่ป่วยรายอื่น จึงรับฟังได้ว่า ผู้ถูกร้องที่ 2 กระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ประเด็นที่สอง กรณีร้องเรียนว่าผู้ต้องขังอดีตผู้บริหารถูกควบคุมตัวไปศาลอาญา โดยไม่มีการใส่เครื่องพันธนาการที่ข้อเท้า จากการตรวจสอบปรากฏว่า อดีตผู้บริหารรายนี้ถูกควบคุมตัวไปดำเนินกระบวนการพิจารณาคดีในชั้นศาล 5 ครั้ง โดยทุกครั้งมีการใส่กุญแจเท้า ยกเว้นเมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2567 ที่อดีตผู้บริหารเพิ่งได้รับการผ่าตัดก้อนเนื้อที่อัณฑะ ทำให้ไม่สามารถเดินได้อย่างสะดวก เรือนจำฯจึงใส่กุญแจมือแทน จึงเป็นกรณีที่เรือนจำฯ ได้กระทำการตามความเหมาะสมในการควบคุมตัวผู้ต้องขังเมื่อต้องออกไปนอกเรือนจำโดยปราศจากการเลือกปฏิบัติ ประเด็นนี้จึงยังไม่อาจรับฟังได้ว่ามีการกระทำหรือละเลยการกระทำอันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน

ด้วยเหตุผลดังกล่าว กสม.ในคราวประชุมด้านการคุ้มครองและส่งเสริมสิทธิมนุษยชน เมื่อวันที่ 13 สิงหาคม2568จึงมีมติให้มีข้อเสนอแนะไปยัง กรมราชทัณฑ์(ผู้ถูกร้องที่3) ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของเรือนจำพิเศษกรุงเทพมหานคร (ผู้ถูกร้องที่1) และทัณฑสถานโรงพยาบาลราชทัณฑ์(ผู้ถูกร้องที่ 2)รวมทั้งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัดของโรงพยาบาลตำรวจ (ผู้ถูกร้องที่ 4)และคณะกรรมการพิจารณาเรื่องร้องเรียนตำรวจ(ก.ร.ตร.)ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยใช้รายงานผลการตรวจสอบฉบับนี้ เป็นข้อมูลประกอบด้วย พร้อมทั้งกำหนดมาตรการเพื่อมิให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในลักษณะนี้อีก นอกจากนี้ให้ผู้ถูกร้องที่4จัดหาสถานที่เพื่อใช้เป็นห้องรักษาพยาบาลสำหรับผู้ป่วยคดีให้เพียงพอและสำหรับผู้ป่วยคดีที่เป็นเพศหญิงเป็นการเฉพาะ เพื่อให้เกิดความสะดวกในการรักษาพยาบาล และการควบคุมผู้ต้องขังป่วยของเจ้าพนักงานเรือนจำให้เป็นไปตามอัตราที่กฎหมายกำหนด

เงื่อนไขการแสดงความคิดเห็น ซ่อน

โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น

1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์

2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี

3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี

ข่าวที่เกี่ยวข้อง

  • ‘ทักษิณ’ไม่ป่วยขั้นวิกฤต ‘3หมอแพทยสภา’เบิกความ ‘ทักษิณ’ไม่ป่วยขั้นวิกฤต ‘3หมอแพทยสภา’เบิกความ
  • ศาลไต่สวนแพทย์ตร.ปมชั้น14 ยันยึดจรรยาบรรณรักษา‘แม้ว’ ศาลไต่สวนแพทย์ตร.ปมชั้น14 ยันยึดจรรยาบรรณรักษา‘แม้ว’
  • ศาลเรียก ‘วิษณุ’ แจง 30 ก.ค.นี้ \'หมอวรงค์\' ชี้ \'ราชทัณฑ์\'เบิกความไม่ตรงทีมแพทย์ ศาลเรียก ‘วิษณุ’ แจง 30 ก.ค.นี้ 'หมอวรงค์' ชี้ 'ราชทัณฑ์'เบิกความไม่ตรงทีมแพทย์
  • ไต่สวนกลุ่มแพทย์ รพ.ตำรวจ อดีตแพทย์ใหญ่ ยันดูแล‘ทักษิณ’ตามโรค เผยเป็นคนลงมีดผ่าตัดไหล่เอง ไต่สวนกลุ่มแพทย์ รพ.ตำรวจ อดีตแพทย์ใหญ่ ยันดูแล‘ทักษิณ’ตามโรค เผยเป็นคนลงมีดผ่าตัดไหล่เอง
  • เปิดคำให้การ 3 แพทย์ใหญ่‘รพ.ตำรวจ’คดี‘ทักษิณ’นอนชั้น14 ไม่ทราบกระบวนการส่งกลับคุก เปิดคำให้การ 3 แพทย์ใหญ่‘รพ.ตำรวจ’คดี‘ทักษิณ’นอนชั้น14 ไม่ทราบกระบวนการส่งกลับคุก
  • ‘ชาญชัย’บุกศาลโชว์ใบเสร็จคดีชั้น14 ‘หมอตุลย์’ลั่นวิกฤติกว่า‘ทักษิณ’คือพยานที่ให้การเท็จ ‘ชาญชัย’บุกศาลโชว์ใบเสร็จคดีชั้น14 ‘หมอตุลย์’ลั่นวิกฤติกว่า‘ทักษิณ’คือพยานที่ให้การเท็จ
  •  

Breaking News

เช็คอากาศวันนี้! ‘กรมอุตุฯ’รายงานทั่วไทยฝนเพิ่มขึ้น เตือน 6 จังหวัดตกหนักมาก

SACIT เปิดเวทีวิชาการนานาชาติ ‘SACIT Symposium 2025’ สืบทอดภูมิปัญญา ‘เครื่องรัก’ งานหัตถศิลป์ที่คิดถึง สู่อนาคตอย่างยั่งยืน

เปิดตัว 30คนสุดท้าย ‘มิสเตอร์อยุธยา2025’ พร้อมดันเป็นทูตการท่องเที่ยวตัดสิน 30 ส.ค.นี้!

สปอตไลต์จับ‘น้องตุ้ย’ หมอลำ Gen Z สืบสานตำนานรัตนศิลป์อินตาไทยราษฎร์ 78 ปี

Back to Top

ผู้ดูแลเว็บไซต์ www.naewna.com
webmaster นายปรเมษฐ์ ภู่โต
ดูแลรับผิดชอบข่าว/ภาพ/โฆษณา/ข้อมูลอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเว็บไซต์
กรรมการบริษัทฯ, กรรมการผู้มีอำนาจ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการนำเสนอข่าว/ภาพ/ข้อมูลใดๆในเว็บไซต์ทั้งสิ้น

Social Media

  • หน้าแรก |
  • เกี่ยวกับแนวหน้า |
  • โฆษณากับเรา |
  • ร่วมงานกับเรา |
  • ติดต่อแนวหน้า |
  • นโยบายข้อตกลง
Copyright © 2025 Naewna.com All right reserved