‘นฤมล‘ พร้อมต่อสู้เพื่อเด็กอาชีวะได้เงินเดือนสูงตามทักษะอาชีพ ไม่ใช่ตามวุฒิการศึกษา
วันที่ 19 สิงหาคม 2568 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ(รมว.ศธ.) เป็นประธานในพิธีวันคล้ายวันสถาปนาสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) ครบรอบ 84 ปี โดยมี น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รมช.ศธ., นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมช.ศธ. , นายยศพล เวณุโกเศศ เลขาธิการ กอศ., นายสุเทพ แก่งสันเทียะ ปลัดศธ. ว่าที่ร้อยตรี ธนุ วงษ์จินดา เลขาธิการ กพฐ., พร้อมคณะผู้บริหาร และข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการเข้าร่วมพิธี บริเวณหน้าอาคาร สอศ. กระทรวงศึกษาธิการ
ศ.ดร.นฤมล กล่าวว่า ตนกลับอาชีวะฯทำงานกันมาไม่ใช่เพิ่งจะปีนี้ แต่ได้ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงแรงงาน ก็ได้ทำเรื่องทวิภาคีด้วยกัน ซึ่งตอนนั้นรัฐบาลพยายามส่งเสริมให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในพื้นที่โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก หรือ EEC ที่ไทยเร่งผลักดันสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษ แต่ปัญหาหลักของประเทศ นอกจากเรื่องโครงสร้างพื้นฐานในเรื่องน้ำจะมีเพียงพอหรือไม่ พลังงานสะอาดจะมีหรือไม่ เพื่อให้ตอบโจทย์ภาคอุตสาหกรรมเหล่านี้ ตรงนั่นยังพอแก้ไขได้ แต่ปัญหาที่ใหญ่กว่าคือ เรื่องของทักษะแรงงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งทักษะพิเศษ ที่บริษัทยักษ์ใหญ่ของต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในพื้นที่ EEC ที่มาพบกับตนช่วงเป็น รมช.แรงงาน พบว่าคำถามที่เกี่ยวกับแรงงาน ถามว่า เรามีวิศวกรอยู่เท่าไหร่ ไทยมีช่างเทคนิคด้านต่างๆอยู่เท่าไหร่ เมื่อกระทรวงแรงงานรวบรวมตัวเลขให้ บริษัทที่จะมาลงทุนก็บอกว่าตัวเลขยังห่างไกลกับที่เขาต้องการเยอะ และบริษัทเหล่านี้ไม่ต้องการวิศวกรที่จบปริญญาตรี แต่ต้องการวิศวกรที่จบจากวิทยอาชีวศึกษา หรือวิทย์วิทยาลัยเทคนิค ต้องการวิศวกรที่สามารถทำงานได้เลย ทำงานเป็น และรู้ว่าจะแก้ปัญหาหน้างานได้อย่างไร กระทรวงแรงงาน จึงได้มาทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา เพื่อเชื่อมโยงผลักดันให้เกิดการทำระบบทวิภาคีขึ้น เพื่อให้นักเรียนอาชีวะฯได้ฝึกปฏิบัติ เมื่อเรียนจบแล้วสามารถทำงานได้จริง นอกจากนั้น ยังมีบริษัทยักษ์ใหญ่เข้ามาลงทุนแล้วขยายกิจการเพิ่มเติมไปนอกพื้นที่ EEC อย่างเช่นบริษัทชิโนเป็กของจีน ที่เข้ามาลงทุนในเรื่องท่อแก๊ส แต่ปรากฏว่าไม่มีแรงงานด้านช่างเชื่อมแบบชั้นสูง จึงต้องมาพึ่งสำนักงานอาชีวะฯในการอบรมช่างเชื่อมที่เป็นอยู่แล้ว ให้เป็นช่างเชื่อมชั้นสูง เนื่องจากชิโนเป็กบอกว่าถ้าเรามีช่างเชื่อมชั้นสูงจะรับไม่จำกัด และให้เงินเดือนเริ่มต้นเดือนละ 50,000 บาท เมื่อปี 2563 ตน จึงได้เริ่มทำงานร่วมกับอาชีวะศึกษาตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ก็เริ่มเห็นอุปสรรคปัญหา ว่าเด็กที่เรียนอาชีวะ พอจบระดับ ปวช, ปวส. ปรากฏว่า รายได้ขั้นต้นต่ำกว่าคนที่จบปริญญาตรี ตรงนี้ก็เป็นปัญหาของเรื่องโครงสร้างเงินเดือนที่ทำให้แรงจูงใจของน้องๆเลือกไปเรียนปริญญาตรีมากกว่ามาเรียนอาชีวะฯ เพราะจบปริญญาตรีได้เงินเดือนเยอะกว่า แต่หางานไม่ได้ จบปริญญาตรีแล้วก็ว่างงานกันเยอะแยะ แต่น้องๆที่จบอาชีวะมาได้งานทำเลย แต่ได้เงินเดือนน้อยกว่าปริญญาตรี ซึ่งในช่วงนั้นตนอยู่กระทรวงแรงงาน ก็ได้คุยกับกรมพัฒนาฝีมือแรงงาน และได้เริ่มผลักดันด้วยการเชิญชวนนายจ้าง ว่าจะปรับโครงสร้างเงินเดือน ของนักเรียนอาชีวะสายอาชีพ ให้ได้รับเงินเดือนสูงกว่าคนที่จบปริญญาตรี เพราะน้องที่จบสายอาชีพที่ผ่านระบบทวิภาคีสามารถทำงานได้จริงๆ แทนที่ไปรับคนที่จบปริญญาตรี แต่ทำอะไรไม่เป็น กว่าจะฝึก กว่าจะทำงานเป็นก็ใช้เวลาอีก 6 เดือน หรือ 1 ปี ดังนั้น น้องๆอาชีวะควรจะได้เงินเดือนเริ่มต้น และเงินเดือนขั้นต่อไป เติบโตในอาชีพสูงกว่า ซึ่งภาคเอกชนเราเชิญชวนได้ แต่ติดในเรื่องกฏหมาย ถ้าเราใช้กฎหมายเพิ่มเติมเพื่อบังคับใช้ในเรื่องค่าแรงขั้นต่ำ ที่แยกตามทักษะวิชาชีพ ถ้าผู้เรียนผ่านการทดสอบมาตรฐานทางวิชาชีพแล้ว ก็บังคับใช้กฎหมายเพื่อให้นายจ้างจ่ายค่าจ้างได้ตามค่าแรงขั้นต่ำตามทักษะวิชาชีพ แต่ติดที่ภาคราชการเราเอง คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)ซึ่งกำหนดอันตราเงินเดือนของผู้จบปริญญาตรีสูงกว่าผู้ที่จบ ปวช. และ ปวส. ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น ซึ่งตรงนี้ก็ต้องต่อสู่กับทาง ก.พ.ร. ต่อไป หน่วยราชการเองก็เหมือนกัน เราไม่ได้ต้องการคนจบปริญญาตรีมาเยอะแยะ เพราะจริงๆปริญญาก็เป็นแค่วุฒิบัตรอย่างหนึ่ง ดังนั้น คนที่เลือกเรียนไม่ว่าจะเรียนสายสามัญ หรือสายอาชีพ แต่เมื่อเขาเลือกเรียนสายอาชีพแล้ว ก็ต้องได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม ดังนั้น ในส่วนที่รัฐบาลจะต้องรับผิดชอบ ตนก็จะไปต่อสู้ต่อไป สำหรับในส่วนของภาคเอกชน เขาให้ความร่วมมือในเรื่องนี้เราพอสมควร ก็ขอความกรุณาดูแลน้องๆสายอาชีวะด้วย
รมว.ศธ. กล่าวต่อว่า ต้องขอขอบคุณอาจารย์และน้องๆอาชีวศึกษา ตามที่ตนได้มีโอกาสไปตรวจเยี่ยมพบว่า นศ.อาชีวะฯจิตอาสา ไปช่วยซ่อมเครื่องใช้ไฟฟ้าต่างๆ รถมอร์เตอร์ไซต์ รถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมเสียหาย ดูจากสภาพแล้วไม่น่าจะซ่อมได้ แต่น้องๆอาชีวะฯก็สามารถซ่อมได้ และขอขอบคุณผู้อุปการะคุณที่ช่วยเอื้อเฟื้ออะไหล่ น้ำมันเครื่อง อุปกรณ์ทั้งหลายทำให้น้องอาชีวะฯได้ไปทำจิตอาสาทั่วประเทศไทย ที่ไหนมีภัย ก็จะมี ศูนย์ซ่อมสร้างเพื่อชุมชน (FIX IT CENTER)ไปที่นั้น
เราอาจจะคิดว่าอาชีวะมีแต่ฮาร์ดสกิล หรือ มีแต่ช่าง แต่อาชีวะฯก็มีซอฟสกิลด้วย มีวิทยาลัยการอาชีพ ช่วงที่ตนเป็นรัฐมนตรีช่วยแรงงาน เกิดโควิดระบาด ก็ได้จัดโครงการฝึกอบรมอาชีพ โดยเชิญวิทยาลัยอาชีวะฯเข้าไปสอนอาชีพให้กับชาวบ้าน เพื่อเป็นอาชีพเสริมเนื่องจากรายได้ประจำหายไป โดยไปสอนทำกาแฟ ทำอาหารกล่องขาย และหลังจากนั้นหลายคนก็นำความรู้ที่ได้จากการอบรมในครั้งนั้น นำไปต่อยอดเปิดร้านเล็กๆของตัวเองจนเติบโตขึ้น รวมทั้งชุดเสื้อผ้าที่รัฐมนตรีทั้ง 3 ท่าน ใส่ในวันนี้ ก็ได้รับความอนุเคราะห์จากวิทยาลัยอาชีวศึกษาขอนแก่น ที่ตัดให้ใส่สวยงาม
รมว.ศธ.ให้สัมภาษณ์เพิ่มเติม ว่า ปัญหาโครงสร้างเงินเดือนของน้อง ๆสายอาชีพเกิดจากค่านิยมของคนไทย คือ ต้องจบปริญญาตรี จึงจะประสบความสำเร็จ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ จบอะไรก็ได้ที่มีงานทำ และเลี้ยงชีพได้ด้วยสัมมาชีพ แต่พอค่านิยมเป็นแบบนี้ โครงสร้างเงินเดือนก็ล้อกันไป ให้เงินเดือนน้องๆที่จบ ปวช, ปวส. น้อยกว่าคนที่จบปริญญาตรี ซึ่งในต่างประเทศไม่เป็นอย่างนี้ เขาจะให้ตามทักษะวิชาชีพ ตอนนั้นตนจึงพยายามผลักดันให้กรมฝีมือแรงงาน ทำความเข้าใจกับนายจ้าง ให้เขาจ่ายค่าจ้างตามทักษะอาชีพ และใช้กฏหมายบังคับเพิ่มเติมด้วยว่าถ้าไม่เป็นไปตามนั้น เราก็จะเริ่มบังคับใช้กฏหมายนะ นอกจากนี้ ก็ทำเรื่องของทวิภาคีร่วมกันและขยายต่อยอด ซึ่งตอนนี้มีสาขาวิชาชีพเพิ่มเติมเยอะมาก และทางภาคอุตสาหกรรมก็ต้องการทักษะอาชีพที่เปลี่ยนไป ตอนนั้นจะมีเแค่เรื่องทักษะช่างเชื่อม ลอจิสติกส์ วิศวะเฉพาะทางสาขาต่าง ๆ แต่ตอนนี้ก็มีเอไอเข้ามาเพิ่ม ระบบราง เกษตรสมัยใหม่ สุขภาพสมัยใหม่ เหล่านี้เด็กที่เรียนจบออกไปแล้วก็สามารถทำงานได้เลย ที่กลุ่มนายจ้างบอกว่าเหมือนปลากระป๋อง เปิดแล้วกินได้เลย เพราะฉะนั้นค่าจ้างก็ควรเป็นไปตามนั้น ก็ยังเหลือแต่หน่วยราชการที่ยังติด ซึ่งคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)ที่ดูเรื่องอัตรากำลังและโครงสร้างเงินเดือน ถ้าสามารถปลดล็อกตรงนี้ได้ แม้กระทั้งกระทรวงศึกษาธิการเอง เรื่องนี้เราก็พึ่งจะคุยกันในที่ประชุม ก.ค.ศ. ว่าต้องให้น้ำหนักเท่า ๆกัน เพราะถือว่าเป็นผู้ที่ประสบความสำเร็จในการศึกษามาแล้ว ไม่ว่าจะจบมาสาขาไหน หรื วุฒิบัตรแบบใด ถ้ามีทักษะและสามารถทำงานได้ ก็ต้องได้ค่าตอบแทนเท่ากัน ไม่ใช่ไปแบ่งกันที่วุฒิ แต่ต้องแบ่งที่ทักษะ ดังนั้น ก.ค.ศ.ก็จะต้องพิจารณาปรับตรงนี้ ในการเลื่อนเงินเดือนก็จะต้องดูตามทักษะ ไม่ใช่เริ่มที่วุฒิ ซึ่งไม่ควร
“ส่วนเรื่องการเพิ่มยอดผู้เรียนสายอาชีวะฯนั้น ก็ต้องไปดูเรื่องโครงสร้างค่าตอบแทน หรือเงินเดือนก่อน ถ้าแก้ไขตรงนี้ได้ ก็จะเป็นแรงจูงใจให้คนมาเรียนอาชีวะมากขึ้น และที่สำคัญต้องส่งเสริมวิทยาลัยอาชีวะฯต่าง ๆให้มีความพร้อมด้านบุคลากร แต่ตอนนี้อัตรากำลังก็ยังมีไม่เพียงพอ ถ้าครูยังมีไม่พอ แล้วจะไปรับเด็กเพิ่มก็จะย้อนแย้งกัน ตรงนี้ก็จะต้องไปต่อสู้กับ กพร. เพื่อให้ได้อัตรากำลังมาเพิ่มเติม รวมถึงอุปกรณ์การเรียนการสอน เพราะตอนนี้สาขาใหม่ๆเกิดขึ้นเยอะแยะ ทางวิทยาลัยและครูอาจารย์ก็จะต้องได้รับการพัฒนาเพื่อที่จะมาสอนเด็กได้ และตนก็จะไปต่อสู้เรื่องงบประมาณให้สอศ.ต่อไป ซึ่งงบฯอาชีวะฯปี 2569 ถูกตัดไป 31 ล้านบาท ได้มา 2.7 หมื่นกว่าล้าน ก็จะใช้ให้คุ้มค่าที่สดสมกับที่สภาฯมอบให้มา“ รมว.ศธ. กล่าว
ด้าน น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รมช.ศธ. กล่าวว่า จากที่ชื่นวีทีอาร์วันนี้จะเห็นได้ว่าทุกๆยุกก็สะท้อนว่า สิ่งที่อาชีวะทำคือการสร้างคนให้มีงานทำ ในทุกยุคทุกสมัยก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนตัวเองมาโดยตลอด วันนี้ก็อยากจะบอกว่าอาชีวะฯไม่ใช่แค่การเรียนเรียนที่จะมุ่งไปสู่การมีงานทำเท่านั้น แต่อาชีวะคือยุทธศาสตร์ของประเทศ ปัจจุบันอาชีวะฯ เป็นแรงงานที่สำคัญที่จะผลักดันให้ภาคอุตสาหกรรมในยุคใหม่เติบโตได้เราต้องอาศัยแรงงานอาชีวะ ก็ขอเป็นกำลังใจให้บุคลากรอาชีวะทุกคน และน้องๆอาชีวศึกษาทุกคน
ขณะที่ นายเทวัญ ลิปตพัลลภ รมช.ศธ. กล่าวเพิ่มเติมว่า ต้นขอแสดงความยินดีกับสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ปีนี้ครบรอบ 84 ปี ถ้าเป็นคน ก็คงถือว่าอายุเยอะพอสมควรแล้ว ฉะนั้น ก็ถือว่าเป็นวัยที่ผ่านประสบการณ์ ผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ ก็ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายดลบันดาลให้สำนักงานอาชีวะศึกษามีแต่ความเจริญรุ่งเรือง ผลิตบุคลากรที่ดี เพราะประเทศไทยยังขาดบุคลากรดีๆอีกเยอะ และอย่าลืมไปปรับเปลี่ยนเรื่องเงินเดือนให้น้องที่จบอาชีวะฯด้วย
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี