19 สิงหาคม 2568 เมื่อเวลา 15.00 น. พ.ต.ต.ณฐพล ดิษยธรรม ผู้อำนวยการกองคดีทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ DSI นำทีมเจ้าหน้าที่ ลงพื้นที่ไปยังสำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์เพื่อตรวจสอบข้อมูลสารบบและแผนที่ ว่ามีบุคคลใดเป็นผู้ถือครอบครองพื้นที่พิพาทของการรถไฟฯ มีสัดส่วนการถือครองอย่างไร รวมถึง 12 หน่วยงานราชการที่มีที่ตั้งในพื้นที่พิพาทดังกล่าวด้วย ว่ามีการขอใช้ประโยชน์ในพื้นที่อะไรรูปแบบไหน เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงมากที่สุดก่อนประมวลข้อมูลทั้งหมดเสนออธิบดีกรมที่ดิน
โดย พ.ต.ต.ณฐพล ระบุว่า วันนี้คณะพนักงานสืบสวนสอบสวน คดีสืบสวนที่ 97/2568 ได้เดินทางมาที่สำนักงานที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์ เพื่อขอข้อมูลข้อเท็จจริงของพื้นที่เขากระโดง ที่อยู่ในความรับผิดชอบของการรถไฟ จำนวน 5,083 ไร่ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากที่ดินจังหวัดบุรีรัมย์เป็นอย่างดี ได้ให้ข้อมูลตามที่ต้องการ ทั้งเรื่องสารบบที่ดินจำนวนหลายแปลงที่อยู่ในพื้นที่ รวมทั้งประวัติความเป็นมาของที่ดินเขากระโดง ทางที่ดินจ.บุรีรัมย์ ก็ได้ค้นข้อมูลให้ซึ่งเป็นประโยชน์อย่างมาก ที่จะอำนวยความยุติธรรมให้กับทุกฝ่ายสอบข้อเท็จจริง วันนี้เราได้ขอข้อมูลเกี่ยวกับระวางแผนที่ ภาพถ่ายทางอากาศต่างๆ เพื่อไปตรวจสอบว่าแผนที่ที่ได้มา การรถไฟครอบครอบถูกต้องตรงกันหรือไม่อย่างไร เพื่อนำไปประกอบการสืบสวนต่อไป
ในเบื้องต้นพนักงานสืบสวนสอบสวน ได้ทำข้อมูลแผนที่ 1 ต่อ 4,000 ในพื้นที่จริงกับแผนที่การรถไฟ ให้มาตั้งแต่เริ่มสร้างทางรถไฟที่เขากระโดง ก็ได้ข้อมูลที่ใกล้เคียงถูกต้อง
และในวันพรุ่งนี้(20 ส.ค.68) ก็จะเดินทางไปดูข้อมูลที่ศูนย์ดำรงธรรม จ.บุรีรัมย์ ว่าผู้ได้มีการร้องเรียนร้องขอความเป็นธรรมหรือไม่อย่างไร นอกจากนี้ยังพบว่ามีหน่วยงานของรัฐอย่างน้อย 12 หน่วยงาน อยู่ในพื้นที่ของการรถไฟ ว่าที่ดินดังกล่าวได้มาอย่างไรและขอใช้ประโยชน์ในรูปแบบใด
ทั้งนี้ บริเวณที่ดินชายขอบของการรถไฟ จะได้ตรวจสอบว่าเป็นอย่างไร นี่คือขั้นต้นที่จะนำข้อมูลไปตรวจสอบข้อเท็จจริงประกอบเรื่อง ที่จะดำเนินการต่อไป เบื้องต้นพบว่ามีการออกโฉนดตั้งแต่ปี 2513 เป็นต้นมา มีการเดินสำรวจออกโฉนดในปี 54 และปี 55 อยู่ระหว่างการประสานกับกรมที่ดิน โดยได้ข้อมูลชั้นต้นว่า มีที่ดินที่การรถไฟมารับรองโฉนดในชั้นต้นด้วย เราต้องขอตรวจสอบว่ามีข้อเท็จจริงอย่างไร โดยในสัปดาห์นี้ เราจะไปที่การรถไฟที่ลําปลายมาศ เพื่อขอข้อมูลข้อเท็จจริงด้วย
ผู้สื่อข่าวข่าวถามว่า กรณีการรถไฟออกมาอ้างสิทธิ์ตามพยานหลักฐานปี 2462 ซึ่งเป็นฉบับเก่า ไม่สอดคล้องกับมิติรอบด้าน เนื่องจากเป็นแผนที่เก่า ในมุมมองของ DSI คิดเห็นอย่างไร กรณีนี้ DSI จะตรวจสอบข้อเท็จจริง ว่าข้อมูลแผนที่เป็นอย่างไร ล่าสุดที่ได้ข้อมูลจากการรถไฟ มีการทำขึ้นตามคำสั่งของศาลปกครอง ที่การรถไฟและที่ดินจัดทำขึ้น จะเอามาประกอบในการสืบสวน ว่าในพื้นที่ดังกล่าวเป็นอย่างไรถูกต้องหรือไม่
สำหรับคดีที่มีคำพิพากษาแล้ว และกฤษฎีกาตีความแล้ว พื้นที่ดังกล่าวเป็นพื้นที่ของการรถไฟ ต้องพิสูจน์สิทธิ์ของประชาชนที่มีโฉนด ว่ามีสิทธิ์ดีกว่าการรถไฟหรือไม่ เพื่อให้ความ เป็นธรรมกับทุกฝ่ายในการพิสูจน์สิทธิ์ โดย DSI จะดูสารระบบที่ดิน การที่ออกโฉนดเนี่ย ดูความเป็นมาของที่ดินว่าใช้หลักฐานอะไร เช่นใช้หลักฐาน สค. 1 ใบจองใบเหยียบย่ำ หรือ นส 3 หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่จะพิสูจน์ได้ว่ามีการครอบครองมาตั้งแต่เมื่อไหร่ เป็นการพิสูจน์สิทธิ์ของผู้ที่มีโฉนดแล้ว ในที่ดินของการรถไฟ โดยจะต้องพิสูจน์สิทธิ์ต่อไป สำหรับที่ดินที่การรถไฟออกโฉนดให้ นั้นการรถไฟจะมีความผิดหรือไม่ต้องไปตรวจสอบที่ศาลระบบที่ดินอีกครั้ง
ทั้งนี้ ที่ดินของการรถไฟ 995 แปลง ก็มีทั้งโฉนด , นส 3 รวมทั้งยังมีที่ว่าง ที่ยังไม่มีเอกสารสิทธิ์ ในพื้นที่ของการรถไฟด้วย ในส่วนนี้ดิเอสไอ จะไปตรวจสอบกับที่ดินของการรถไฟอีกครั้งหนึ่ง โดย DSI นัดหมายที่การรถไฟลำปลายมาศ ในวันที่ 21 ส.ค.68 เนื่องจากการรถไฟลำปลายมาศ เป็นเจ้าของในที่ดิน
ในเรื่องของการรับเป็นคดีพิเศษ หากครอบครองที่ดินเกิน 50 ไร่ โดยการออกโฉนดไม่ชอบ จะเข้าข่ายเป็นคดีพิเศษ ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ DSI กรมสอบสวนคดีพิเศษสามารถรับเป็นคดีพิเศษได้.
012
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี