กทม. หารือการเคหะแห่งชาติ ขอความร่วมมือชวนผู้พัก ร่วมคัดแยกและจัดการระบบจัดเก็บขยะในอาคาร ลดขยะที่แหล่งกำเนิด และเข้าร่วมโครงการ #บ้านนี้ไม่เทรวม

นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และผู้บริหารด้านความยั่งยืนของกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย นางสาววรนุช สวยค้าข้าว รองผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม หารือร่วมกับ นายธวัช สินพันธุ์ รองผู้ว่าการการเคหะแห่งชาติ และผู้บริหาร เพื่อนำเสนอแนวทางส่งเสริมการลดและคัดแยกขยะที่แหล่งกำเนิด รวมถึงระบบจัดเก็บขยะ ในโครงการอาคารที่พักอาศัยที่การเคหะแห่งชาติดูแล และให้เช่าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ซึ่งมีอยู่ จำนวน 147 โครงการ เพื่อเป็นไปตามแนวทางของข้อบัญญัติกรุงเทพมหานคร เรื่อง ค่าธรรมเนียมการให้บริการในการจัดการสิ่งปฏิกูลหรือมูลฝอยตามกฎหมายว่าด้วยการสาธารณสุข พ.ศ. 2568 ที่จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2568

ที่ปรึกษาของผู้ว่าฯ กทม. กล่าวว่า การปรับระบบการจัดการขยะโดยใช้ระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมขยะ เข้ามากระตุ้นให้ประชาชนคัดแยกขยะอย่างเป็นระบบ ที่ผ่านมาเราดำเนินการส่งเสริมการคัดแยกขยะ เป็นการขอความร่วมมือ ซึ่งประสบความสำเร็จดี แต่ต้องยอมรับว่าประชาชนส่วนใหญ่ยังไม่ได้มีการคัดแยกอย่างจริงจัง และนับเป็นครั้งแรกที่ กทม. นำระบบเศรษฐศาสตร์คือกลไกของระบบจัดเก็บค่าธรรมเนียมมาส่งเสริมการคัดแยกขยะ ประเด็นสำคัญคือเมื่อประชาชนคัดแยกขยะ ก็จะชำระค่าธรรมเนียมขยะให้ กทม. น้อย แต่ถ้าไม่แยกขยะ ก็จ่ายมากขึ้น คือ จาก 20 บาท/เดือน จ่ายเป็น 60 บาท/เดือน ซึ่งตั้งแต่เดือนตุลาคม 2568 นี้ ค่าธรรมเนียมอัตราใหม่จะเริ่มบังคับใช้ ช่วงนี้จึงเป็นช่วงที่ต้องทำความเข้าใจกับประชาชนคนกรุงเทพฯ ซึ่งในแต่ละกลุ่มจะมีรายละเอียดแตกต่างกัน ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่พักอาศัยแบบบ้านเดี่ยว คอนโด หมู่บ้าน รวมไปถึงสถานประกอบการณ์ขนาดใหญ่  กทม. เล็งเห็นว่าการเคหะแห่งชาติดูแลอาคารที่อยู่อาศัยและมีผู้พักอาศัยจำนวนมาก และตามข้อมูลที่การเคหะแจ้งทราบว่ามีการบริหารงานอาคารที่พักอาศัย แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. อาคารพักอาศัยที่การเคหะแห่งชาติบริหารงานเอง โดยมอบหมาย outsource เป็นผู้ดูแล 2. อาคารพักอาศัยที่ให้ผู้บริหารทรัพย์สินเป็นผู้ดูแล และ 3. อาคารพักอาศัยที่ดูแลโดยนิติบุคคล จึงขอความร่วมมือในการร่วมหาแนวทางเพื่อส่งเสริมการคัดแยก การจัดเก็บค่าธรรมเนียม และจัดทำระบบจัดเก็บขยะในอาคารของการเคหะให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เพื่อช่วยลดปริมาณขยะที่จะนำเข้าสู่ระบบกำจัด หากสำเร็จการร่วมกันพัฒนาระบบจัดเก็บในครั้งนี้จะสามารถพัฒนาเป็นโมเดลการจัดการขยะที่เป็นตัวอย่างในระดับเมืองได้