โฆษก กทม. ชี้แจง กรุงเทพฯ จะไม่จมน้ำภายในปี 2050 ตามที่หลายฝ่ายกังวล หลังได้เตรียมพร้อมมาตรการป้องกันรอบด้าน ทั้งสร้างเขื่อนสูง 3.5 เมตร และพัฒนาระบบระบายน้ำครบวงจร ยืนยันเมืองหลวงปลอดภัยแน่นอน
วันที่ 26 สิงหาคม 2568 นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร กล่าวถึงประเด็น “ไทยเสี่ยงจมน้ำ ในปี ค.ศ. 2050 (อีก 25ปีข้างหน้า) กรุงเทพฯ เมืองหลวงที่อาจหายไป” ว่า กรุงเทพมหานครได้เตรียมมาตรการรับมือรอบด้าน โดยยืนยันว่ากรุงเทพฯ จะปลอดภัยจากวิกฤตจมน้ำ ด้วยแนวป้องกันน้ำท่วมสูงถึง 3.5 เมตร ร่วมกับระบบระบายน้ำครบวงจร
สาเหตุของปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ
ปัญหาน้ำท่วมของกรุงเทพฯ เกิดจาก 3 สาเหตุหลัก ได้แก่ ฝนตกหนัก น้ำเหนือหลาก และน้ำทะเลหนุนสูง ประกอบกับลักษณะพื้นที่เป็นที่ราบลุ่มปลายแม่น้ำเจ้าพระยา พื้นดินมีระดับต่ำ หลายพื้นที่มีระดับต่ำกว่าระดับน้ำทะเลปานกลาง อีกทั้งยังเกิดการทรุดตัวของแผ่นดินและการขยายตัวของเมืองอย่างรวดเร็ว เมื่อรวมกับผลกระทบจากภาวะโลกร้อน ทำให้ปัญหาน้ำท่วมเกิดขึ้นซ้ำซากและทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี ซึ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนมากขึ้น
● บริหารจัดการน้ำด้วยแนวคิด “ระบบพื้นที่ปิดล้อม”
กรุงเทพมหานครจึงใช้แนวคิดระบบพื้นที่ปิดล้อม โดยก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมล้อมรอบพื้นที่ เพื่อป้องกันน้ำจากพื้นที่ภายนอกไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่ ส่วนภายในพื้นที่ปิดล้อมดำเนินการก่อสร้างระบบระบายน้ำต่าง ๆ เพื่อระบายน้ำท่วมขังเนื่องจากฝนตกในพื้นที่ให้ระบายลงสู่แม่น้ำเจ้าพระยา
โฆษกของกรุงเทพมหานคร กล่าวอีกว่า กรุงเทพมหานครได้ก่อสร้างแนวป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย คลองมหาสวัสดิ์ คลองชักพระ และคลองพระโขนง เป็นคันกั้นน้ำริมแม่น้ำเจ้าพระยา เพื่อป้องกันน้ำท่วมจากน้ำเหนือหลากและน้ำทะเลหนุนสูง และคันป้องกันน้ำท่วมด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานคร (คันกั้นน้ำพระราชดำริ) ใช้ป้องกันน้ำไหลบ่าจากพื้นที่ด้านเหนือและด้านตะวันออกของกรุงเทพมหานครเข้าท่วมพื้นที่ชั้นใน
รวมทั้งใช้ระบบระบายน้ำในพื้นที่ปิดล้อมเพื่อแก้ไขปัญหาน้ำท่วมขังเนื่องจากน้ำฝน ประกอบด้วยระบบระบายน้ำต่าง ๆ ดังนี้ 1. คูคลองระบายน้ำ จำเป็นต้องมีการขุดลอกเปิดทางน้ำไหล เก็บวัชพืช และก่อสร้างเขื่อนริมคลอง เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการรองรับและระบายน้ำในคลองเมื่อมีฝนตก 2. ท่อระบายน้ำ ดำเนินการล้างทำความสะอาดท่อระบายน้ำเป็นประจำทุกปี ก่อสร้างและปรับปรุงท่อระบายน้ำในถนนเพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำจากถนนและบ้านเรือนให้ระบายลงสู่คลอง 3. สถานีสูบน้ำ ประตูระบายน้ำ และบ่อสูบน้ำ เพื่อเร่งระบายน้ำท่วมขังเนื่องจากน้ำฝนในพื้นที่ออกสู่แม่น้ำเจ้าพระยา 4. จัดหาแก้มลิง เพื่อรองรับน้ำฝนส่วนเกินจากระบบระบายน้ำมาเก็บกักไว้ในแก้มลิงเป็นการชั่วคราว 5. อุโมงค์ระบายน้ำ เป็นโครงการขนาดใหญ่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายน้ำบริเวณที่มีปัญหาน้ำท่วมออกไปสู่แม่น้ำเจ้าพระยาได้โดยเร็ว
ทั้งนี้ รัฐบาลได้อนุมัติและสนับสนุนงบประมาณในโครงการขนาดใหญ่หลาย ๆ โครงการของกรุงเทพมหานคร ได้แก่ โครงการอุโมงค์ระบายน้ำ และโครงการก่อสร้างเขื่อน แม้ว่าพื้นที่กรุงเทพมหานครจะมีความสูงเฉลี่ยประมาณ 1.5 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง (ม.รทก.) กรุงเทพมหานครยังสามารถป้องกันน้ำท่วมและระบายน้ำฝนในพื้นที่ได้เป็นอย่างดีด้วยแนวป้องกันน้ำท่วมซึ่งมีความสูง 3.5 ถึง 2.8 ม.รทก. ร่วมกับการใช้ระบบระบายน้ำต่าง ๆ ในพื้นที่
● ผลกระทบจาก Climate Change
อีกปัจจัยหนึ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ คือปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก (Climate Change) ที่ทวีความรุนแรงขึ้น และส่งผลกระทบต่อกรุงเทพมหานครในหลาย ๆ ด้าน ได้แก่
อุณหภูมิสูงขึ้น: กรุงเทพฯ จะเผชิญกับอุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงฤดูร้อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชน และทำให้เกิดการเสียชีวิตเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เช่น ผู้สูงอายุ เด็ก และผู้มีรายได้น้อย
น้ำท่วม: ปริมาณฝนที่ตกหนักและรุนแรงขึ้น รวมถึงระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น จะทำให้ปัญหาน้ำท่วมในกรุงเทพฯ รุนแรงและบ่อยครั้งขึ้น โดยเฉพาะพื้นที่ริมแม่น้ำและชายฝั่ง
การกัดเซาะชายฝั่ง: ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นและคลื่นทะเลที่รุนแรงขึ้น จะทำให้เกิดการกัดเซาะชายฝั่ง โดยเฉพาะในพื้นที่ชายฝั่งทะเลของกรุงเทพฯ เช่น บางขุนเทียน ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อโครงสร้างพื้นฐานและวิถีชีวิตของประชาชน
ปัจจุบันที่มีการคาดการณ์จากหลายหน่วยงานในเรื่องของระดับน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สำหรับอนาคตอีก 25 ปีข้างหน้า หรือปี พ.ศ. 2593 (ค.ศ. 2050) มีการคาดการณ์ระดับน้ำทะเลอาจสูงขึ้น 0.50 เมตร (RCP8.5*) หมายเหตุ: * เส้นตัวแทนความเข้มข้นแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ หรือ RCP (Representative Concentration Pathways) เป็นศัพท์เทคนิคหมายถึงฉากทัศน์การปล่อยแก๊สเรือนกระจกซึ่งใช้ในรายงานการประเมินฉบับที่ 5 ของไอพีซีซี โดยแบ่งออกเป็น 4 สถานการณ์คือ RCP2.6 RCP4.5 RCP6 และ RCP8.5 สะท้อนระดับการปล่อยแก๊สคาร์บอนไดออกไซด์สี่ระดับซึ่งเป็นผลลัพธ์ของนโยบายรับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระหว่าง ค.ศ. 2000 ถึง ค.ศ. 2100 ซึ่ง RCP8.5 เป็นฉากทัศน์ที่รุนแรงที่สุดที่คาดการณ์การเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลปี ค.ศ. 2050 สูงขึ้น 0.50 เมตร เมื่อพิจารณาจากระดับน้ำสูงสุดในแม่น้ำเจ้าพระยา ณ จุดวัดปากคลองตลาด เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ +2.05 ม.รทก. (ระดับน้ำปี 2565 = +2.32 ปี 2566 = +1.90 ปี 2567 = +1.95) หากรวมกับระดับน้ำทะเลคาดการณ์แล้ว จะมีความสูงที่ +2.55 ม.รทก. ซึ่งใกล้เคียงกับระดับน้ำสูงสุดในปี 2554 ทั้งนี้ แนวป้องกันริมแม่น้ำเจ้าพระยาของกรุงเทพมหานคร ยังสามารถป้องกันได้ดีเนื่องจากมีความสูงอยู่ที่ 3.00 ม.รทก.
● เดินหน้า 5 มาตรการรับมือ พร้อมเสนอแนะ 5 มาตรการเพิ่มเติม
อย่างไรก็ตาม การเตรียมความพร้อมในการรับมือเพื่อเผชิญหน้ากับภัยต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตเป็นสิ่งที่สำคัญและไม่อาจมองข้ามไปได้ กรุงเทพมหานครจึงมีมาตรการเตรียมพร้อมและแก้ไขปัญหากรุงเทพมหานครจมน้ำ ดังนี้
1.การพัฒนาและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน การสร้างและเสริมความแข็งแรงของเขื่อนป้องกันน้ำท่วม ความยาวริมตลิ่งของแม่น้ำเจ้าพระยา คลองบางกอกน้อย และคลองมหาสวัสดิ์ มีความยาวทั้งสิ้นประมาณ 88 กม. ซึ่งแบ่งเป็นแนวป้องกันตนเองของเอกชนหรือหน่วยงานอื่น ความยาว 3.65 กิโลเมตร (กม.) แนวฟันหลอ 4.35 กม. และเป็นแนวป้องกันน้ำท่วมของ กทม. มีความสูง +3.50 ถึง +2.80 ม. รทก. ตลอดความยาว 80 กม. เพื่อป้องกันน้ำเหนือและน้ำทะเลหนุนเข้าสู่พื้นที่โดยมีการตรวจสอบและซ่อมแซมแก้ไขจุดชำรุดรั่วซึมเป็นประจำทุกปี และอยู่ระหว่างดำเนินการสร้างแนวป้องกันจุดแนวฟันหลอให้แล้วเสร็จ การเพิ่มประสิทธิภาพระบบระบายน้ำต่าง ๆ ทั้งคูคลอง ท่อระบายน้ำ สถานีสูบน้ำ ประตูระบายน้ำ บ่อสูบน้ำ แก้มลิง และอุโมงค์ระบายน้ำ เพื่อเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์น้ำท่วมจากปัญหาต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
2.มาตรการในการฟื้นฟูและการป้องกันชายฝั่ง พื้นที่ชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน มีความยาวของชายฝั่งประมาณ 4.70 กม. จากอดีตถึงปัจจุบัน ชายฝั่งถูกกัดเซาะเข้าไปประมาณ 1 กม. กรุงเทพมหานคร โดยสำนักการระบายน้ำซึ่งมีภารกิจสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่ง กำลังดำเนินการโครงการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่งทะเลบางขุนเทียน กรุงเทพมหานคร และศูนย์สำรวจและเฝ้าระวังชายฝั่ง ลักษณะโครงการเป็นการก่อสร้างคันหินถาวรนอกแนวชายฝั่ง เพื่อฟื้นฟูพื้นที่ชายฝั่งที่ถูกกัดเซาะแนวคันหิน จะช่วยป้องกันและลดผลกระทบจากคลื่นลดการกัดเซาะชายฝั่ง รวมถึงเป็นแนวดักดินตะกอน ส่งผลให้มีดินตะกอนเพิ่มขึ้นหลังคันหิน และช่วยให้พันธุ์ไม้ป่าชายเลนเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ จะได้พื้นที่ป่าชายเลนกลับคืนมา เป็นการป้องกันการกัดเซาะชายฝั่งอย่างยั่งยืน ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดซื้อจัดจ้าง
3.การวางแผนและการพัฒนา เร่งพัฒนาเทคโนโลยีการปรับตัวและการป้องกัน โดยปัจจุบันศูนย์ควบคุมระบบป้องกันน้ำท่วมของกรุงเทพมหานคร ใช้เทคโนโลยีคอมพิวเตอร์และการสื่อสารที่ทันสมัย มีระบบตรวจวัดข้อมูลต่าง ๆ เพื่อใช้ติดตามสถานการณ์น้ำและสถานการณ์ฝนที่แม่นยำ และมีแผนการปรับปรุง พัฒนาระบบวิเคราะห์ คาดการณ์ และประเมินสถานการณ์ต่าง ๆ รวมถึงการแจ้งเตือนภัย ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งในปัจจุบันจากข้อมูลสถิติผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล ยังไม่ส่งผลกระทบต่อแนวป้องกันน้ำท่วมของกรุงเทพมหานคร
4.การเตรียมความพร้อมรับมือ ติดตามสถานการณ์น้ำเหนือและน้ำทะเลหนุนอย่างใกล้ชิด และประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อบูรณาการข้อมูลร่วมกันและใช้วิเคราะห์คาดการณ์สถานการณ์ ตลอดจนเตรียมความพร้อมระบบระบายน้ำ อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องจักร และเจ้าหน้าที่พร้อมรับมือสถานการณ์
5.แนวทางความร่วมมือระดับชาติ กรุงเทพมหานครร่วมเป็นหนึ่งในคณะอนุกรรมการจัดทำข้อเสนอโครงการศึกษาแนวทางการป้องกันและแก้ไขปัญหาการกัดเซาะชายฝั่ง และการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศบริเวณพื้นที่อ่าวไทยตอนบน (กรุงเทพมหานคร จังหวัดสมุทรปราการ และจังหวัดสมุทรสาคร) ซึ่งรัฐบาลมอบหมายให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกรมการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อม จัดทำแผนแม่บทการป้องกันและแก้ไขปัญหาดังกล่าว โดยครอบคลุมการศึกษาผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการประเมินสิ่งแวดล้อมระดับยุทธศาสตร์ (SEA) เพื่อให้ได้แนวทางที่มีความเหมาะสมยั่งยืน และสามารถนำไปใช้จริงในระดับพื้นที่ คาดว่าแผนแม่บทจะแล้วเสร็จภายในไตรมาส 4 ของปี 2569
สำหรับข้อเสนอแนะและมาตรการเพิ่มเติม ประกอบด้วย
1.รณรงค์ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เร่งการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานหมุนเวียน ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน พัฒนาเทคโนโลยีการดักจับและเก็บคาร์บอน เพื่อลดความรุนแรงจากปัญหาสภาวะโลกร้อน
2.พัฒนาเมืองที่สามารถอยู่ร่วมกับน้ำได้ฟื้นฟูและอนุรักษ์ระบบนิเวศชายฝั่ง
3.การวางแผนใช้ที่ดินที่คำนึงถึงความเสี่ยง พัฒนาระบบเตือนภัยและการอพยพ สร้างความร่วมมือระหว่างประเทศ
4.ส่งเสริมการวิจัยเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ พัฒนาเทคโนโลยีการปรับตัวและการป้องกัน สร้างระบบติดตามและประเมินผลที่มีประสิทธิภาพ
5.ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน สร้างความตระหนักและเตรียมความพร้อมของชุมชน
“แม้หลายหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศจะคาดการณ์ว่าระดับน้ำทะเลจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญภายในปี 2050 ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อพื้นที่ชายฝั่งและเขตลุ่มต่ำทั่วโลก รวมถึงกรุงเทพมหานคร ซึ่งกรุงเทพมหานครได้เตรียมความพร้อมด้วยแผนรับมือครอบคลุมทุกมิติ ทั้งการเสริมแนวป้องกันน้ำท่วมริมแม่น้ำเจ้าพระยาและคลองสายหลักต่าง ๆ สูงถึง 3.5 เมตร ซึ่งสูงกว่าระดับน้ำสูงสุดในอดีตและคาดการณ์ในอนาคต
นอกจากนี้ ยังพัฒนาระบบระบายน้ำ อุโมงค์ระบายน้ำขนาดใหญ่ สถานีสูบน้ำ และแก้มลิง เพื่อรองรับน้ำฝนและน้ำท่วมขัง พร้อมใช้เทคโนโลยีทันสมัยในการติดตามและพยากรณ์สถานการณ์น้ำ เพื่อบริหารจัดการอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังประสานความร่วมมือในระดับชาติและระหว่างประเทศ เพื่อวางแผนและดำเนินงานอย่างยั่งยืน รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นอย่างมั่นคง สร้างความมั่นใจว่ากรุงเทพมหานครจะไม่จมน้ำ” โฆษกฯ กทม. กล่าว
โปรดอ่านก่อนแสดงความคิดเห็น
1.กรุณาใช้ถ้อยคำที่ สุภาพ เหมาะสม ไม่ใช้ ถ้อยคำหยาบคาย ดูหมิ่น ส่อเสียด ให้ร้ายผู้อื่น สร้างความแตกแยกในสังคม งดการใช้ถ้อยคำที่ดูหมิ่นหรือยุยงให้เกลียดชังสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
2.หากพบข้อความที่ไม่เหมาะสม สามารถแจ้งได้ที่อีเมล์ online@naewna.com โดยทีมงานและผู้จัดทำเว็บไซด์ www.naewna.com ขอสงวนสิทธิ์ในการลบความคิดเห็นที่พิจารณาแล้วว่าไม่เหมาะสม โดยไม่ต้องชี้แจงเหตุผลใดๆ ทุกกรณี
3.ขอบเขตความรับผิดชอบของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ อยู่ที่เนื้อหาข่าวสารที่นำเสนอเท่านั้น หากมีข้อความหรือความคิดเห็นใดที่ขัดต่อข้อ 1 ถือว่าเป็นกระทำนอกเหนือเจตนาของทีมงานและผู้ดำเนินการจัดทำเว็บไซด์ และไม่เป็นเหตุอันต้องรับผิดทางกฎหมายในทุกกรณี